"จตุพร" ลั่น "บิ๊กโจ๊ก" หมดโอกาสหวังเก้าอี้ ผบ.ตร.แล้ว หลังโดนบุกค้นบ้านกล่าวหาเอี่ยวเว็บพนันออนไลน์ บอกเป็นบทเรียนราคาแพง จี้รัฐบาลเร่งปฏิรูปตำรวจ แก้ซื้อขายตำแหน่งยกระดับคุณภาพชีวิต มีรายได้ยังชีพอ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ระบุว่า บทเรียนชีวิตรอบที่สามในหน้าที่ตำรวจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก มีเดิมพันสูง แล้วยังส่อถึงเส้นทางไต่เต้าระดับไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจยิ่งยาก และโอกาสคงจบสิ้นแล้ว
นายจตุพร กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ตั้งคณะกรรมการ 3 คน ประกอบด้วย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการ นายชาติพงษ์ จีระพันธุ อดีตรองอัยการสูงสุด กรรมการ และ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ กรรมการเเละเลขานุการ มาตรวจสอบการบุกค้านบ้านพักบิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) โดยกำหนดไว้เวลา 30 วันและต้องรายงานความคืบหน้าทุก 10 วัน
นายจตุพร กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการทั้ง 3 คนมาตรวจสอบนั้น ไม่รู้นายกฯ มีหลักคิดอะไรหรือไม่ แต่ที่สำคัญในวันที่ 27 ก.ย.นี้คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ก.ตร.) จะพิจารณาเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ เท่ากับว่าบิ๊กโจ๊กในฐานะ รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 2 อาจจบเส้นทางได้รับพิจารณาเป็น ผบ.ตร.ในปีนี้ ส่วนจะจบตลอดไปในอนาคตหรือไม่ ต้องพิจารณาสถานการณ์อีกครั้ง
อีกทั้ง เห็นว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับบิ๊กโจ๊ก เพราะยังไม่ได้รับข้อกล่าวหาใดๆ แต่การออกหมายค้นเป็นการอนุมัติตามแหล่งที่ปรากฎในการสอบสวน ส่วนการออกหมายจับตำรวจอื่นๆ ที่เป็นลูกน้องนั้น เมื่อยื่นขอศาลก็ได้รับอนุมัติทั้งสิ้น
“กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า การตรวจสอบบุคคลจะขึ้นดำรงตำแหน่งไม่ว่าในองค์กรใด หรือหน่วยงานใดต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้น และอย่าได้มองว่า การตรวจสอบนั้นเป็นการรังแกกัน แต่ควรท่องไว้ว่า ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ”
นอกจากนี้ เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายยึดปฎิบัติ เริ่มด้วยการตั้งข้อกล่าวหา แล้วต่อสู้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นความจริงที่ดำรงอยู่ ดังนั้น การต่อสู้คดีของบิ๊กโจ๊กต้องเป็นไปตามขั้นตอน ส่วนตำรวจใกล้ชิดถูกหมายจับแล้ว แต่ขณะนี้ศาลได้ให้ประกันตัวทุกคน
“สิ่งที่น่าสนใจ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นนายกฯ เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง ผบ.เหล่าทัพเรียบร้อยหมด แต่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กลับไม่พิจารณาแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ดังนั้น การประชุมวันที่ 27 ก.ย. อาจได้ ผบ.ตร.ใหม่เลย ส่วนบิ๊กโจ๊กคงต้องออกจากเส้นทางในปีนี้”
นายจตุพร กล่าวว่า แม้บิ๊กโจ๊กรอดพ้นจากบทเรียนมาก่อนหน้านี้ถึง 2 ครั้งแล้วในปี 2552 และปี 2561 ข้อหาเรียกรับผลประโยน์ แต่ครั้งนี้เป็นบทเรียนชีวิตครั้งที่สาม ซึ่งมีเดิมพันแพงที่สุด และเป็นบทเรียนที่ต่างกันกับครั้งที่ 1-2 ดังนั้น เมื่อต้องมาผจญเส้นทางแบบนี้แล้วเป้าประสงค์ที่วางไว้ในตำแหน่ง ผบ.ตร.คงยากจะไปถึง
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการพิจารณา ผบ.ตร คนใหม่ จบในวันที่ 27 ก.ย.นี้ และข้อกล่าวหาบิ๊กโจ๊กจะจบลงอย่างไร ซึ่งมีข่าวหลากหลาย เช่น อาจถูกโยกออกหน่วยตำรวจ ไปอยู่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) กระทรวงยุติธรรม หรือไปสำนักนายกฯ เช่นถูกกระทำเมื่อปี 2561 แต่ขณะนี้มีอายุราชการเหลืออยู่อีกหลายปี จึงมีสิทธิต่อสู้กับข้อกล่าวหาต่างๆ ถ้าฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อีกรอบหนึ่ง คงมีโอกาสไปถึงเป้าประสงค์ได้ แต่รอบนี้ข้อกล่าวหาบิ๊กโจ๊กหนักและมีเดิมพันสูงมาก
“ความจริงแล้ว บทเรียนบิ๊กโจ๊กไม่ควรมีครั้งที่สามที่เป็นเดิมพันสูงสุดเลย เพราะก่อนหน้านี้ แม้ไม่ได้เป็น ผบ.ตร. แต่เป็นคนมีฤทธิ์เดชอยู่ จึงรอดกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาครั้งนี้ยังไม่เป็นคดี ดังนั้น บิ๊กโจ๊กถ้าคิดว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมย่อมมีสิทธิฟ้องคดีตามกฎหมายได้ และคนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาทั้ง 8 ตำรวจลูกน้องก็ต้องต่อสู้ข้อกล่าวหา”
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งที่สังคมจะได้ประโยชน์คือ ต่อไปนี้การกระทำทุกอย่างจะไม่ง่าย เมื่อบิ๊กโจ๊กถูกกล่าวหาในคดีนี้ แต่เส้นทาง ผบ.ตร. อาจจบเลย หากไม่จบคงมีปัญหาอีกแบบ ส่วนรัฐบาลต้องพิจารณาคนใหม่ให้ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.ต่อไป
กรณีของบิ๊กโจ๊กจะลามมาสู่การเมืองภายนอกหรือไม่นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะ ตร.มีบุคลากรประมาณ 3 แสนคน ใหญ่อยู่ทั่วประเทศมาก จึงปฎิเสธการเมืองไม่ได้ ดังนั้น กรณีนี้ทุกฝ่ายต้องได้รับการพิสูจน์ตามข้อกล่าวหาและต้องเป็นการตรวจสอบเพื่อทำให้บ้านเมืองสะอาด จึงจะเกิดประโยชน์ โดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เข้าไปพัวพัน หรือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง
นายจตุพร กล่าวว่า ใน ตร. ตำรวจดีมีจำนวนมาก แต่สถานีตำรวจทั่วไปพบว่า ตำแหน่งผู้กำกับการ (ผกก.) มีอายุน้อยกว่า รอง ผกก. ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างแสดงให้เห็นว่า เงินเป็นปัจจัยหลัก เพราะเงินคือตำแหน่ง คือหน้าทื่ ขณะเดียวกันเมื่อมีหน้าที่มีตำแหน่งก็หาเงิน มาเพื่อหาตำแหน่งและหน้าที่ต่อไปเป็นทอดๆ
“เมื่อ ผกก.อายุน้อยกว่า รอง ผกก. ใครลองบอกมาว่า ทุกอย่างในวันนี้เป็นไปด้วยความรู้่ความสามารถและความโปร่งใสทั้งปวง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินทองใดๆ ดังนั้น ถ้ามีระบบคุณธรรม ถูกต้องดีงาม เท่ากับเป็นการยกระดับ ตร. ให้รับรู้เหมือนกระบวนการของศาลและอัยการว่า ใครจะก้าวขึ้นไปมีตำแหน่งอะไร จึงต้องเอามาเป็นตัวอย่าง ส่วนตำรวจไม่รู้เลย ขึ้นอยู่กับเงินนำทาง”
นายจตุพร ย้ำว่า การก้าวขึ้นตำแหน่งสูงขึ้นของตำรวจไม่มีการรับรู้อย่างโปร่งใส เพราะทุกอย่างอยู่ที่ความเร็ว ดังนั้น จึงควรมีมาตรฐานว่า ทุกคนแต่ละหน่วยงานต้องตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะใน ตร.จะหาคนดีเลิศไม่มัวหมองเลยหาได้ยากมาก นอกจากจ่าเฉยและรูปปั้นหน้า ตร.เท่านั้น
อีกทั้งกล่าวว่า โดยความจริงแล้ว ตำรวจที่ไม่วิ่งเต้นจะเป็นรอง ผกก.อยู่นานเป็นสิบปี ไม่มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน ส่วนคนยุคใหม่กลับก้าวหน้าได้รวดเร็ว เพราะรู้ช่องวิ่งเต้นในด่านแรกแล้วได้ด่านสอง ส่วนตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ยังต้องทำหน้าที่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน แล้วคนพวกนี้ก็ควานหาความยุติธรรม ไม่รู้จะทำอย่างไร จนหมดหนทาง ไม่รู้ความดีความชอบคืออะไรต้องรอจนเข้าเกณฑ์ 33% ถ้ารัฐบาลนี้ไม่ปฏิรูปตำรวจแล้ว คงต้องปฎิรูปตัวเองด้วย
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ช่วงรัฐบาลประยุทธ์ เป็นยุคที่มีเวลาดีที่สุดถึง 9 ปี แต่ไม่ปฏิรูปตำรวจให้เป็นชิ้นเป็นอัน ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว กรมราชภัณฑ์ กรมคุมประพฤติ ล่าหลังพอกันกับตำรวจ จึงต้องปฎิรูปอย่างเร่งด่วน
“ถ้าวางระบบได้ตามกระบวนการของศาลแล้วจะดีที่สุดที่รู้ว่าใครจะขึ้นไปถึงระดับไหนในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนตำรวจไม่มีใครรู้ จึงเกิดอาการห่อเหี่ยว หมดไฟในการทำงาน ดังนั้น จึงต้องยกระดับตำรวจให้มีรายได้อยู่ได้ และใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ ถ้าได้ยกระดับแล้วจะมีคุณภาพขึ้น ทั้งคุณภาพชีวิต ตำรวจจะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย เพราะมีเงินสามารถยังชีพได้ในระบบ โดยในแต่ละปีตำรวจจะไม่ถูกไล่ออกจำนวนมาก”