"3 ส.ว." หารือที่ประชุมวุฒิสภา แนะ "รัฐบาล" ถอย โครงการแจกเงินดิจิทัล ชี้ได้ไม่คุ้มเสีย หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-ประชาชน ระยะยาว เปรียบหน้าที่ "นายกฯ" ไม่ยื่นน้ำผึ้งเคลือบยาพิษให้ประชาชน
ก่อนการประชุมวุฒิสภาตามระเบียบวาระ ในช่วงหารือ พบว่ามี สว. หลายคนทักท้วงถึงการเดินหน้าทำโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและประชาชนระยะยาว พร้อมเสนอแนะให้ถอยโครงการดังกล่าว
โดยนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สว. หารือ ว่าโครงการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล ตนมองว่าเป็นโครงการที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ 162 เนื่องจากไม่ชี้แจงรวมถึงแถลงแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะนำมาใช้ รวมถึงสุ่มเสี่ยงขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 62 ซึ่งกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพการเงินการคลังของรัฐ นอกจากนั้นแล้วส่อขัดกับกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องไม่บริหารราชการแผ่นดิน ที่มุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกกิจระยะเยาว อย่างไรก็ดีตนทราบว่ารัฐบาลจะให้ธนาคารออมสินรับโครงการดังกล่าวไปดำเนินการแทนโดยใช้เงินของธนาคาร รวม 5.6แสนล้านบาท และรัฐบาลจะชดเชยให้ภายหลัง อย่างไรก็ดีตนพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธนาคารออมสิน แล้วมองว่าการดำเนินการดังกล่าวจะขัดกับกฎหมายของธนาคาร
“ผมขอให้รัฐบาลพิจารณาให้รอบคอบ หากจะทำเพราะได้หาเสียงไว้ ควรพิจารณาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญและกฎหมายการเงินการคลัง หากทำผิดพลาดใครจะรับผิดชอบ แม้จะบอกว่าประชาชนต้องรับผิดชอบ แต่ผมมองว่าผู้รับผิดชอบคือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายฯและรมว.คลัง ฐานะประธานวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมถึง ครม. ผมขอให้ดูโครงการรับจำนำข้าวเป็นตัวอย่าง ขอให้นำความเห็นผู้ที่คัดค้านไปปรับปรุงแก้ไข” นายเฉลิมชัย กล่าว
ทางด้าน นายถวิล เปลี่ยนสี สว.หารือในประเด็นเดียวกัน โดยย้ำว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลเป็นนโยบายที่เป็นปัญหาและไม่ถูกต้องด้วยกาละเทศะ เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยไม่อยู่ในภาวะที่ต้องกระตุ้นมากนัก ดังนั้นตนมองว่าควรเน้นเสถียรภาพมากกว่าการสร้างภาระหนี้สินให้รัฐในอนาคต อย่างไรก็ดีขณะนี้มีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ รวมถึงผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยท้วงติง ตนมองว่ารัฐบาลควรรับฟังเหตุผล
“รัฐบาลยืนยันทำโครงการ โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชน ผมว่าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง หากสิ่งใดเป็นพิษต้องไม่ตามใจประชาชน นายกฯ เหมือนหมอที่รักษาไข้ราษฎร หมอให้ยาพิษเคลือบน้ำผึ้งกับคนไข้ไม่ได้ ประชาชนย่อมไม่รู้ถึงพิษที่เกิดขึ้นจากนโยบายนี้ ผมเสนอแนะว่ารัฐบาลต้องกล้าหาญและยอมรับสารภาพความจริงกับประชาชนว่าไม่ทำโครงการนี้ ความมุ่งมั่นทำโครงการนี้ไม่ใช่เรื่องกล้าหาญ แต่เป็นเรื่องดื้อรั้นไม่มีเหตุผล ดังนั้นยังมีเวลาจะทบทวน ผมหวังนายกฯ จะรับฟังเสียงท้วงติง” นายถวิล กล่าว
ขณะที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สว. หารือด้วยว่า สินทรัพย์ หรือเงินดิจิทัลที่ ใช้ตลาดเก็งกำไรทั่วโลก เป็นความเสี่ยงหากรัฐบาลจะเข้าไปรับประกันมูลค่าและนำเข้าสู่การซื้อขายเงินคริปโต เพราะมีกรณีของบิตคอยน์ ที่พบว่ามีมูลค่าขึ้นสูงสุด 6.9หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่วันนี้ เหลือ 2.7หมื่นเหรียญสหรัฐ และบิตคอยน์นั้นเชื่อว่าอยู่ในกกลุ่มของฟอกเงินของนักพนัน ผู้ค้าของเถื่อน หลบเลี่ยงภาษีทั่วโลก ดังนั้นรัฐบาลไม่ควรมองแค่ผลบวกอย่างเดียว และไม่ควรเอาประเทศไปเสี่ยงในวงการดังกล่าว
นพ.เจตน์ หารือด้วยว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะแจกเงินแบบเหวี่ยงแหทุกกลุ่ม เพราะเป็นนโยบายที่ไม่สร้างความเป็นธรรม และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง ดังนั้นรัฐบาลควรจะทำคือ เน้นการใช้จ่ายภาครัฐ การส่งออก รวมถึงเน้นการลงทุนภาครัฐ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์
“นโยบายแจกเงินนั้นเป็นความเลื่อนลอยที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นความคาดหวังเกินจริง การใช้จ่ายเงินของรัฐ แจก หรือ โอน จะมีมูลค่าต่ำกว่าตัวคูณในการลงทุนของภาครัฐ ดังนั้นผมขอให้รัฐบาลถอยโครงการนี้และนำเงินไปใช้ในทางที่เหมาะสมของประเทศต่อไป” นพ.เจตน์ กล่าว