วิฑูรย์ สิมะโชคดี
ทุกวันนี้ ความเจริญและความทันสมัยของโลกในหลายๆ ด้าน ได้นำไปสู่ปัญหาความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุกที พร้อมๆ กับสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมโลกเพิ่มมากขึ้นด้วย
สถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ยิ่งซ้ำเติมปัญหาต่างๆ ให้ขยายวงกว้างขวางขึ้นทั่วโลก
ดังนั้น ในภาวะที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตซ้ำซ้อนเช่นนี้ ความร่วมมือกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อกลับมาดูแลโลกใบนี้อย่างเร่งด่วน จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่เป็น ”ทางรอด” สำหรับมนุษยชาติที่จะอยู่ร่วมกันบนโลกนี้อย่างสงบสุขและยั่งยืนเท่านั้น
สถิติที่น่าเป็นห่วง ก็คือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการอุปโภคบริโภคอย่างสิ้นเปลือง ตามจำนวนประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 9.6พันล้านคน ในปี 2050 ก็จะมีผลให้ทรัพยากรธรรมชาติทั่วโลกขาดแคลนมากขึ้นทุกที
นักลงทุนจากสถาบันและองค์กรต่างๆ ทั่วโลก จึงรวมตัวกันภายใต้ชื่อ “UN PRI” (Principle for Responsible Investment) (จากการสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติ) เพื่อยึดหลักปฏิบัติสำหรับ “การลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ” ซึ่งเน้นการปฏิบัติในประเด็นสำคัญด้าน “ESG” ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ธุรกิจอุตสาหกรรมควรเติบโตควบคู่ไปกับการคำนีงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล”
“ESG” จึงเป็นทั้งแนวความคิดและยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย E คือ Environmental หมายถึง การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม S คือ Social หมายถึง การจัดการด้านสังคม และ G คือ Governance หมายถึง การจัดการด้านธรรมาภิบาล
ESG จะเป็นปัจจัยที่มีความเชื่อมโยงและเกื้อหนุนกัน พร้อมๆ กับสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน นักลงทุนจึงควรนำปัจจัย ESG มาประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนในกิจการต่างๆ โดยเปิดเผยข้อมูลด้าน “ESG” อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมั่นใจได้ว่ามีส่วนร่วมสนับสนุนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบและเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน แนวความคิดในการดำเนินธุรกิจและประกอบกิจการอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยยึดกรอบของ ESG กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งจากบริษัทจดทะเบียนและนักลงทุนทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในบริษัที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนทั้งของกิจการและสังคมโดยรวม โดยจะใช้ผลการดำเนินงานด้าน “ESG” ของธุรกิจอุตสาหกรรม จากตัวชี้วัดทั้ง 3ด้านนี้มาเป็นเกณฑ์ประกอบการพิจารณา เพื่อประเมินความยั่งยืน ความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และความสามารถในการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จากนั้นจึงตัดสินใจร่วมลงทุนหรือไม่ต่อไป
หลักการหรือแนวความคิดในประเด็น ESG จึงสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนต้องการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบและแสวงหาผลตอบแทนที่ไม่ใช่อยู่ในรูปของผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการเห็นการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลของกิจการมากขึ้นด้วย
“ESG” จึงยึดเอา “ความยั่งยืน” ของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม สังคมและส่วนรวมเป็น “เป้าหมาย” ซึ่งสอดคล้องกับ “เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ของโลกหรือ Sustainable Development Goals (SDGs) 17 ข้อ ที่ประเทศต่างๆ เห็นชอบร่วมกันตามรายงานของ World Economic Forum (WEF) เมื่อปี 2015 แล้ว ครับผม !