เบื้องลึกเบื้องหลังการกวาดล้างตระกูลหมิงที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักจีนเทา
เมื่อช่วงเย็นวันที่ 16 พฤศจิกายน CCTV รายงานว่า ในบรรดาผู้นำคนสำคัญ 4 กลุ่มอาชญากรฉ้อโกงเครือข่ายโทรคมนาคมในเขตปกครองตนเองโกกั้งเหนือ คือ หมิงกั๋วผิง, หมิงจูหลัน และหมิงเจินเจิน ถูกจับโดยตำรวจเมียนมาได้สำเร็จและส่งมอบให้กับจีน แต่สถานกงสุลใหญ่เมียนมาในเมืองคุนหมิงรายงานว่า หมิงเสวียชาง ผู้นำตระกูลหมิง และเป็นบุคคลที่ใหญ่กว่าสมาชิกตระกูลอีก 3 คนที่เหลือ ซึ่งถูกจับเมื่อคืนวันที่ 15 พฤศจิกายน ระหว่างการจับกุมตัว หมิงเสวียชาง วัย 69 ปี ได้ชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
ความตายของ หมิงเสวียชาง เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์และไม่น่าแปลกใจในเวลาเดียวกัน ที่เซอร์ไพรส์ก็เพราะคนที่เคยแกร่งระดับเจ้าพ่ออย่างเขาเลือกที่จะตัดช่องน้อยฆ่าตัวตายไปง่ายๆ แต่ที่ไม่น่าแปลกใจก็คือ เคยมีคำเตือนมาแล้วว่าถ้า "จีนเทา" เหล่านี้ไม่หยุดการกระทำที่ทำร้ายคนจีน ทางการจีนจะไม่ยอมเลิกรา และพวกเขาจะต้อง "ชดใช้ด้วยเลือด"
เผอิญว่าในบรรดา "สี่ตระกูลใหญ่แห่งโกกั้ง" ตระกูลหมิงไปเกี่ยวข้องกับความตายของบุคคล 2 คน แม้จะแค่ 2 คนแต่สถานะอาจจะไม่ธรรมดา
ที่โกกั้งมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมดำมืด นั่นคือ "คฤหาสน์เสือหมอบ" (卧虎山庄) ซึ่งว่ากันว่าเป็นของหมิงเสวียชาง แต่หมิงเสวียชางปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ "คฤหาสน์เสือหมอบ" มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะในเดือนตุลาคม มีปฏิบัติการร่วมกวาดล้างธุรกิจจีนเทาที่นี่ พบคนจีนจำนวนมากทำงานธุรกิจจีนเทาที่นี่ และยังพบศพ 2 ศพ ซึ่งร่ำลือกันว่าอาจเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบของจีนที่ "ถูกเก็บ" ระหว่างช่วยคนจีนออกจากที่นี่
ความตายของบุคคลดังกล่าวทำให้เกิดกระแสเดือดเป็นแค้นในหมู่คนจีน ตามมาด้วยการไล่ล่าคนในตระกูลหมิง และจบลงด้วยเลือดของประมูของตระกูล คือ หมิงเสวียชาง ในที่สุด
หมิงเสวียชาง มีเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา ตามประวัติทางการในสำนักงานตำรวจของโกกั้ง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เขาเคยเป็นใหญ่มาก่อน ระบุถึงชีวิตที่แสนจะราบเรียบว่า เขาเกิดที่หนานหูถัง เขตโกกั้ง ในปี 1954 ต่อมาเข้าร่วมกองทัพโกกั้งของ เผิงเจียเซิง ขุนศึกใหญ่แห่งโกกั้ง ในช่วงปีแรกๆ หมิงเสวียชางเริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวในกองทัพ หลังสงคราม เขาได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านชิงสุ่ย ในปี 1976 เขารับราชการใน "รัฐบาลโกกั้ง" ของเผิงเจียเซิง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี 1989 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากหัวหน้าหมู่บ้านชิงสุ่ย เป็นหัวหน้าส่วนการเงินของกระทรวงการเมืองและกฎหมายของโกกั้ง และในปี 1998 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าเขตและหัวหน้าเขตของเขตตงซาน
ประวัตินี้ดูขาวสะอาดไม่ด่างพร้อย เพราะมันเป็น "ประวัติทางการ" ที่เอาไว้โชว์ของหน่วยงานในโกกั้งที่อยู่ใต้อำนาจของพวก "สี่ตระกูลใหญ่แห่งโกกั้ง"
แต่จากการรายงานของสื่อของจีน สำนักข่าว ซ่างโหยว ซินเหวิน (上游新闻) คนท้องถิ่นรู้ดีว่า หมิงเสวียชาง ร้ายกาจมาตั้งแต่ยังหนุ่ม จนมีคำพังเพยว่า "หมิงเสวียชางขโมยวัว ขโมยผ้า" คำกล่าวนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า หมิงเสวียชาง มีชื่อเสียงในด้านใด
แต่เขาเป็นคนที่ไม่ขาวไม่ดำ ออกจะเทาๆ เพราะแม้จะเคยเป็นลูกน้องของ "ราชาแห่งโกกั้ง" คือ เผิงเจียเซิง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าธุรกิจยาเสพติดในแถบนี้ แต่เขากลับทำงานเพื่อลบภาพความเป็นศูนย์กลางยาเสพติดของเขตโกกั้ง โดย สำนักข่าว ซ่างโหยว ซินเหวิน (上游新闻) สื่อของจีนยังรายงานว่าในระหว่างดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขต หมิงเสวียชาง มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมงานปลูกทางเลือกในโกกั้ง โดยสนับสนุนให้เกษตรกรละทิ้งการปลูกฝิ่น และหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทน เช่น อ้อยและยางพารา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการต่อต้านยาเสพติดในพื้นที่
จุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้ หมิงเสวียชาง ก้าวขึ้นมาโดดเด่นได้ในทางการเมือง เพราะเขาร่วมมือกับ ไป๋สั่วเฉิง ลูกน้องของ เผิงเจียเซิง ทำการทรยศลูกพี่ด้วยการไปสวามิภักดิ์กับกองทัพเมียนมา และเมียนมาก็ตอบแทนด้วยการตั้งให้เป็นเทศมนนตรีเขตโกกั้ง แล้วไต่บันไดการเมืองขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นสมาชิกสภารัฐฉาน รองประธานเขตปกครองตนเองโกกั้ง สมาชิกของคณะกรรมการทำงานประจำวันและคณะกรรมการผู้นำของเขตปกครองตนเองโกกั้ง และกลายเป็น "ผู้นำอาวุโส" (老领导) ในที่สุดตามการเรียกขานของสื่อท้องถิ่น ซึ่งคำๆ นี้มักใช้เรียกนักการเมืองที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่มายาวนาน จนมีอิทธิพลสูง
นั่นคือ หมิงเสวียชาง มาอยู่ในสถานะเป็นหนึ่งใน "เจ้าพ่อ" แห่งโกกั้งแล้วนั่นเอง แต่แทนที่จะหยุดแค่นั้น เขากลับหยุดไม่ได้ ที่จริงแล้วสถานะความเป็นเจ้าพ่อไม่สามารถที่จะหยุดได้ง่ายๆ พวกเขาจะต้องหาทุนทรัพย์มาอัดฉีดลูกน้อง กองทัพ และค้ำยันอาณาจักรของตนอยู่ตลอดเวลา และในเมื่อธุรกิจยาเสพติดทำไม่ได้แล้ว ทางเลือกที่เหลือคือธุรกิจคาสิโนและธุรกิจฉ้อโกงทางโทรศัพท์และออนไลน์ หรือ "ธุรกิจจีนเทา" อย่างที่เรารู้จักกัน
ธุรกิจนี้ทำเงินมหาศาลมาก จน หมิงเสวียชาง ถูกกล่าวขวัญจากสื่อจีนว่าเป็น "ดาวรุ่ง" ในหมู่สี่ตระกูลใหญ่แห่งโกกั้ง อันที่จริงตระกูลหมิงไม่ควรถือเป็นตระกูลแกนหลักด้วยซ้ำ แต่เพราะความรุ่งในธุรกิจจีนเทาและความมั่งคั่งจนทำให้ หมิงเสวียชาง รวยที่สุดในโกกั้ง จึงทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในประมุขแห่งยุทธจักรแห่งการฉ้อฉลแห่งโกกั้ง
กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนถึงกับระบุว่า หมิงเสวียชางนั้นเป็น "ผู้นำด้านการฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์" และธุรกิจเหล่านี้ล่อลวงเงินคนจีนมากมายมหาศาล และยังล่อลวงคนจีนให้เข้าไปติดกับ กลายเป็นแรงงานทาสที่ถูกบังคับให้ล่อลวงคนจีนด้วยกันเอง สร้างอาชญากรรมที่เลวร้ายซ้ำซ้อน จนทางการจีนไม่อาจปล่อยไว้ได้อีก
หมิงเสวียชาง คุมอาณาจักรฉันใด ลูกหลานก็ช่วยงานธุรกิจจีนเทาฉันนั้น และทำให้ลูกๆ ของเขาถูกจีนหมายหัวไปด้วย โดยเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน สำนักงานสืบสวนคดีอาญา กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนได้ออกประกาศรางวัลสำหรับการจับกุมผู้นำสำคัญ 4 คนของตระกูลหมิง ฐานเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 100,000 ถึง 500,000 หยวน
และในที่สุด ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังจากออกหมายจับ คนตระกูลหมิงก็ถูกรวบตัวเกือบหมด ประมุขของตระกูลคงไม่อาจยอมรับกับชะตากรรมได้ จึงปลดชีพตัวเองไปเรียบร้อย ส่วนลูกๆ ที่ถูกจับได้ มีเสียงร่ำลือว่าอาจต้องโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต
แต่ตระกูลหมิงอาจจะยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดลงง่ายๆ เพราะคนที่มีอำนาจรองลองมาในตระกูลหมิง คือ หมิงกั๋วอัน ลูกชายคนโตที่คุมตำรวจและกองกำลังในเมืองเล่าก์ก่าย สำนักข่าว ซ่างโหยว ซินเหวิน (上游新闻) รายอ้างตามที่คนวงในระบุว่า หมิงกั๋วอัน บังเอิญตกจากหลังม้าขณะขี่ม้าอยู่บนถนนของเมืองเล่าก์ก่าย จนกลายเป็นอัมพาตครึ่งล่างและเดินทางมารักษาที่ประเทศไทย
ซ่องธุรกิจจีนเทาของตระกูลหมิง จึงต้องยกให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวดูแล แล้วก็ถูกรวบตัวไปเกือบหมด ในขณะที่ หมิงกั๋วอัน อยู่ที่เมืองไทย จึงรอดพ้นจากการถูกหมายหัวโดยทางการจีนไปได้
และเป็นคนเดียวที่ยังรอดอยู่
รายงานพิเศษจากทีมข่าว The Better