ข้อมูลเบื้องต้น
- ในวันที่ 22 มกราคม 2567 มีการประกอบพิธีเสก หรือ "ปราณประติษฐะ" ให้กับเทวาลัย "รามมณเฑียร" (Ram Mandir) ในเมืองอโยธยา (Ayodhya) ในรัฐอุตตรประเทศ เดิมชื่อเมืองสาเกตุ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระราม หรือ 'รามชนมภูมิ' (Janmabhoomi)
- ตามความเชื่อของชาวฮินดู อโยธยาเป็นสถานที่ประสูติของพระราม และพระรามเคยครองราชย์ที่เมืองนี้ จึงเป็นฉากของมหากาพย์รามายณะ หรือรามเกียรติ์ วรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ของอินเดียและของไทย
- อโยธยาได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญที่สุดแห่งแรกของชาวฮินดูทั้งเจ็ดแห่ง คือ อโยธยา, มถุรา, หริทวาร, พาราณสี, กาญจีปุรัม, อุชเชน, ทวารกา (หรือทวารวดี)
- จุดที่สร้างรามมณเฑียรนี้ เชื่อกันว่าเป็นศาสนสถานหรือป้อมปราการมาก่อน เรียกว่า ป้อมรามจันทร์ ซึ่งคำว่ารามจันทร์หมายถึงพระราม บางครั้งเรียกป้อมแห่งนี้ว่ารามโกฏ
- ต่อมาเทวาลัยถูกทำลายโดยคำสั่งของจักรพรรดิโมกุล ซึ่งอาจเป็นจักรพรรดิบาบูร์ หรืออาจเป็นจักรพรรดิออรังเซบ ซึ่งทรงนับถือศาสนาอิสลาม และมีการสร้างมัสยิดขึ้นแทนที่ หลังจากนั้นก็เป็นมัสยิดมาอีกหลายร้อยปี
- แต่ในปีพ.ศ. 2535 เกิดเหตุจลาจลขึ้น โดยชาวฮินดูได้บุกเข้าทำลายมัสยิดบาบรี (Babri Masjid) ในเมืองอโยธยา ซึ่งตั้งอยู่บนสถานที่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระราม และหวังจะสร้างเทวาลัยขึ้นมาใหม่
- กรณีนี้เป็ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูและที่นับถือศานาอิสลาม จนกระทั่งความขัดแย้งมาถึงจุดแตกหัก ในยุคที่อินเดียบริหารประเทซโดยรัฐบาลชาตินิยมฮินดู
- ในที่สุดผู้พิพากษาทั้ง 5 คนของศาลฎีการับพิจารณารณีกรรมสิทธิ์ที่ตั้งมัสยิดและเทวาลัยระหว่างเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2562 และตัดสินว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของรัฐบาลตามบันทึกภาษี และสั่งให้ส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้กับมูลนิธิเพื่อสร้างเทวาลัย
อโยธยาเป็นของจริงในตำนานหรือ?
ชื่อเมืองนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก มาคำกริยาภาษาสันสกฤต ยุทธ ซึ่งแปลว่า "ต่อสู้, ก่อสงคราม" แล้วแผลงเป็นคำว่า โยธยา เป็นกริยาสำหรับรูปประโยคอนาคต (คือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น) ซึ่งหมายถึง "ถูกต่อสู้" เมื่อเติมคำว่า "อ" (หรือ อะ) คือคำนำหน้าที่มีความหมายว่า "ไม่" ทั้งหมดจึงหมายถึง "ไม่ถูกต่อสู้" หรือ "อยู่ยงคงกระพัน" หรือไม่อาจพิชิตได้
แต่นักวิชาการยังถกเถียงและคัดค้านว่าเมืองอโยธยาที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันไม่น่าจะใช่เมืองในมหากาพย์รามายณะ เพราะเชื่อว่ารามายณะเป็นเพียงตำนานหรือเรื่องแต่ง และชี้ว่าเดิมนั้นเมืองอโยธยาทุกวันนี้ชื่อว่าเมืองสาเกตุ (ซึ่งมีหลักฐานเอ่ยถึงในพระไตรปิฎก และพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับ) แต่เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้วเพิ่งจะมีการโยงว่าสาเกตุหรือเมืองอโยธยาในตำนาน
และตามหลักฐานทางโบราณคดี การตั้งถิ่นฐานแรกสุดที่อโยธยาเท่าที่พบมีอายุได้ตั้งแต่ประมาณ 800 ปีก่อนคริสตศักราช ในขณะที่เรื่องรามายณะหรือรามเกียรติ์มีฉากที่น่าจะเกิดก่อนหน้านั้นนานมาก และจากเนื้อหาในรามเกียรติ์แสดงให้เห็นว่าอโยธยาเต็มไปด้วยพระราชวังและอาคารต่างๆ แต่จากการขุดค้นที่อโยธยาในปัจจุบันพบเพียงหลักฐานที่บ่งชี้ถึงวิถีในยุคดึกดำบรรพ์เท่านั้น
แล้วอโยธยาแห่งนี้ถูกโยงว่าเป็นอโยธยาในรามเกียรติ์้งแต่ตอนไหน? การยกให้เมืองอโยธยาสมัยใหม่ให้เป็นศูนย์กลางของการบูชาพระรามเกิดขึ้น ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่นิกายรามานันทิเริ่มได้รับความนิยม นิกายารามานันทิ (แปลว่าความยินดีที่ได้บูชาพระราม) เน้นการบูชาพระราม นางสีดา และหนุมาน และอวตารของพระวิษณุ นิกายนี้ถือว่าพระรามและนางสีดาเป็นพระเจ้าสูงสุดที่ไม่แตกต่างกัน
การตั้งข้อสงสัยเรื่องอโยธยาเป็นเมืองจริงๆ หรือไม่ และเรื่องการแย่งชิงมัสยิดบารีและการสร้างรามมณเฑียร ถือเป็นกรณีขัดแย้งที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่จบ ซึ่งถูกเรียกว่า Ayodhya dispute หรือ 'กรณีพิพาทอโยธยา'
อโยธยาคือต้นแบบของอยุธยา
สำหรับคนไทยแล้ว กรณีความขัดแย้งเรื่องอยธโยาและรามมณเฑียร ไม่เพียงมีน่าสนใจในแง่มุมการเมืองระหว่างประเทศ แต่ยังเกี่ยวข้องกับรากเหง้าของวัฒนธรรมไทยโดยตรงเพราะอโธยาคือจุดกำเนิดของ 'รามเกียรติ์' และศิลปวัฒนธรรมมากมายของไทยเกี่ยวข้องกับตำนานของพระราม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน
ไปจนถึงพระนามของพระมกษัตริย์ของไทยก็ทรงตั้งตามพระนามของของพระราม ตั้งแต่ พ่อขุนรามคำแหง (สุโขทัย), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง (อยุธยา) ไปจนถึงพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งทุกพระองค์มีพระนามว่า "พระราม" ตั้งแต่พระรามที่ 1 หรือพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จนถึงพระรามที่ 10 หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 10
ความเกี่ยวข้องอีกอย่างของเมืองอโยธยากับประเทศไทย คือคำว่า 'อโยธยา' เป็นต้นแบบของชื่อเดิมของกรุงศรีอยุธยา คือเมืองอโยธยา ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยาฝในปัจจุบันหรือด้านตรงข้ามกับสถานีอยุธยา มีโบราณสถานสำคัญ เช่น วัดมเหยงค์ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดดุสิต และวัดอโยธยา
เราไม่มีหลักฐานว่าอโยธยาก่อตั้งเมื่อไร แต่น่าจะเจริญรุ่งเรืองในช่วงก่อนศตวรรษที่ 13 โดยมีหลักฐานการเรียกอีกอย่าง 'เมืองพระราม' คู่กับ 'เมืองพระกฤษณ์' ซึ่งเชื่อว่าหมายถึงอาณาจักรทวารวดี (ทวารดีของไทยตั้งชื่อตามทวารดีหรือทวารดกาในอินเดีย ถือเป็นเมืองของพระกฤษณะ) ที่อาจมีศูนย์กลางที่นครปฐม เมืองพระรามยังเรียกแบบทางการอีกว่า 'อโยธยาศรีรามเทพ'
ในเวลาต่อมาได้มีการย้ายเมืองมาที่ฝั่งตะวันตกที่เกาะเมือง แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า 'อยุธยา' ซึ่งแม้ว่าจะสะกดชื่อต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความหมายเดียวกัน และสะท้อนถึงเมืองอโยธยาของพระรามเหมือนกัน สถานที่ต่างๆ ยังสะท้อนถึงพระราม เช่น บึงพระรามหรือวัดพระราม
และอยุธยาก็มีความหมายว่า "พิชิตไม่ได้" หรือ "เอาชนะไม่ได้" แม้ว่ากรุงศรีอยุธยาจะถูกพิชิตโดยพม่าถึง 2 ครั้งและครั้งสุดท้ายถึงกับถูกทำลายอย่างหนัก แต่เมื่อ 'พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1' หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงตั้งพระนครขึ้นใหม่ที่บางกอก ก็ทรงเรียกเมืองแห่งนี้เหมือนอยุธยาว่า 'กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา'
นั่นหมายความว่า อยุธยาหรืออโยธยาได้รับการสืบทอดอีกครั้งและจนถึงวันนี้ แม้ว่าคนไทยจะเไม่ได้เรียกรุงเทพว่า 'กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา' อีกต่อไปเพราะเลิกเรียกมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แต่ 'เมืองพระราม' แห่งนี่้ก็ยังไม่ถูกใครพิชิตลงได้ รวมถึงพระมหากษัตริย์ก็ยังมีพระนามว่า 'พระราม' ทุกพระองค์อีกด้วย
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by Punit PARANJPE / AFP