สรุปสถานการณ์และบทวิเคราะห์ความเป็นไปของ มิน อ่อง หล่าย (หรือ พลเอกอาวุโส มี่นอองไลง์ ) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเมียนมา ผู้ก่อรัฐประหารใน พ.ศ. 2564 หลังจากที่กองกำลังชนกลุ่มน่อยและกองกำลังรัฐบาลเอกภาพกำลังได้เปรียบในการรบสมรภูมิต่างๆ ในขณะที่กองทัพเมียนมาพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า และเสียเมืองสำคัญแห่งแล้วแห่งเล่า ทำให้สถานการณ์ของรัฐบาลเผด็จการทหารและกองทัพสั่นคลอนอย่างหนัก ถึงกับมีเสียงเรียกร้องให้ มิน อ่อง หล่าย สละอำนาจ
นี่คือสรุปสถานการณ์ดังกล่าว
- เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 สื่ออิสระของเมียนมา คือ The Irrawaddy รายงานว่า ผู้สนับสนุน หมิน อ่อง หล่าย บางคนเริ่มที่จะหันมาเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่งแล้ว เช่น 'โก มอง มอง' (Ko Maung Maung) ซึ่งเป็นอินหลูเอนเซอร์บอกในช่องยูทูบของเขาว่า “อู มิน อ่อง หล่าย ไม่สามารถแสดงความสามารถใดๆ ได้เลยในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศ [ตกต่ำ] เข้าสู่ความอับอายและภาวะถดถอยทางประวัติศาสตร์ เขาไม่มีความสามารถในทุกภาคส่วนทั้งการเมืองและเศรษฐศาสตร์ … เขาควรลาออกจากตำแหน่ง [เพื่อแสดง] ความรับผิดชอบ”
- อีกคนคือ 'จอ เมียว มิน' (Kyaw Myo Min) ซึ่งเป็นสื่อที่สนับสนุนทหารเช่นกัน แต่ล่าสุดเขาเปลี่ยนท่าทีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ โดยบอกในรายการ NP News Talk Show ว่า “เราละอายใจที่ต้องใช้คำว่า 'ยอมแพ้' เราไม่สามารถปลอบใจได้ด้วยการยอมจำนนของทหารมากกว่า 2,000 นาย และสมาชิกในครอบครัวมากกว่า 1,000 คน”
- อีกคนคือ โม เฮง (Moe Hein) นักเคลื่อนไหวทางการเมืองสายโปรทหาร ที่ไม่พอใจ มิ อ่อง หล่าย เช่นกัน โดยบอกใน Facebook ของเขาว่า “แม้จะได้รับการฝึกทหารมาเป็นเวลานาน แต่ทหารจำนวนมากยังต้องล้มตาย หากนายพลของกองทัพมุ่งความสนใจไปที่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น” เขายังท้าทายผู้นำทหารตรงๆ ว่า “ผมอยากขอให้ผู้นำทหารทุกคน (รวมถึงผู้นำรัฐบาลทหาร) ดำเนินธุรกิจของตนเอง หากคุณคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น อย่าสร้างภาระให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ทางทหารและหน้าที่ครอบครัวอย่างเต็มที่แล้ว”
- เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 The Irrawaddy รายงานอีกว่า พระภิกษุที่สนับสนุนระบอบเผด็จการทหารตัวยง หันมาเรียกร้องให้ มิน อ่อง หล่าย สละอำนาจ โดยภิกษุรูปนี้ คือ อะชิน อริยะวุนตา (Ashin Ariawuntha) หลังจากพระรูปนี้บอกกับฝูงชนที่รวมตัวกันเพื่อชุมนุมสนับสนุนทหารในเมืองพิน อู ลวิน ของเขตมัณฑะเลย์ ว่า มิน อ่อง หล่าย ควรลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร และมอบอำนาจการควบคุมให้กับรองพล.อ.โซ วิน (Soe Win)
- ในเวลาต่อมา พระอะชิน อริยะวุนตา ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเอาไว้ช่วงสั้นๆ หลักจากสอบสวนแล้วก็ปล่อยตัวไป แต่การที่พระรูปนี้แสดงท่าทีเรียกร้องแบบนี้ สั่นคลอนเก้าอี้ของ มิน อ่อง หล่าย อย่างมาก แต่จะเห็นว่าพระอะชิน อริยะวุนตา ยังสนับสนุนทหารต่อไป เพียงแต่ต้องการให้เปลี่ยนตัวผู็นำกองทัพ ซึ่งพระรูปนี้เป็นพระที่มีแนวคิดชาตินิยมรุนแรง และมีส่วนช่วยก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนกองทัพ
- มาถึงจุดนี้แล้วก็ถึงเวลาที่จะควรจับตาดูว่า มิน อ่อง หล่าย จะเสียอำนาจหรือไม่ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 The Irrawaddy มีบทวิเคราะห์ในเรื่องนี้ และตั้งคำถามว่า มันจะเกิดการก่อรัฐประหารซ้อนภายในกองทัพหรือไม่ และระบุว่า "ความพ่ายแพ้อย่างน่าอัปยศอดสูทางตอนเหนือของรัฐฉาน และความสูญเสียอันรุนแรงที่กองทัพได้รับ ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งในหมู่ทหารระดับล่าง" และ "ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จำนวนมากได้ย้ายไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและอินเดียอย่างเงียบๆ"
- แต่กองทัพยังใช้วิธีการลงโทษอย่างรุนแรงต่อนายทหารที่ยอมแพ้ให้กับฝ่ายตรงข้าม เช่น นายพลจัตวา 6 นายซึ่งยอมจำนนกับฝ่ายตรงข้ามทางตอนเหนือของรัฐฉานได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต และ "อดีตเจ้าหน้าที่ทหารได้โพสต์ความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย ยืนยันว่าผู้บัญชาการที่ยอมจำนนต่อกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ควรได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง" เรื่องนี้ The Irrawaddy ชี้ว่าสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อครอบครัวของทหาร
- ส่วนสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นต่อไปนั้น The Irrawaddy อ้างนักวิเคราะห์ว่า ถ้าทหารยังคงอยู่ต่อไปฝ่ายต่อต้านก็จะรบต่อไป แต่ "ประเทศก็จะถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง" แต่สื่อรายนี้ยังอ้างข้อมูลนักวิเเคราะห์ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล มิน อ่อง หล่าย อาจมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับหนึ่งในสองรองนายกรัฐมนตรี โดยที่เขายังคงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพและประธานระบอบการปกครอง "อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่ทำให้ใครพอใจ"
- อีกความเป็นไปได้คือ เผด็จการทหารยอมให้นักการเมืองพลเรือนที่น่าเชื่อถือสามารถจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวได้ ซึ่งกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์บางกลุ่มที่ได้ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลทหารเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่ารัฐบาลทหารเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ ซึ่งสถานการณ์นี้หมายความว่าจะมีการประนีประนอมเกิดขึ้น โดยผ่านรัฐบาลพลเรือนที่ทหารตั้งขึ้นมาทำงานแทนตน
Photo by Handout / MYANMAR MILITARY INFORMATION TEAM / AFP