การเยือนสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นรอบนี้ เหมือนเป็นการแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าจะขอร่วมห้วจมท้ายกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกเพื่อปิดล้อมจีน บนเป้าหมายการมี อำนาจอธิปไตย เป็นของตัวเอง?
ในขณะที่สถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครนกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดสำคัญในช่วงฤดูหนาวนี้ ซึ่งหลายฝ่ายก็มองว่าน่าจะเป็นจุดจบของยูเครนโดยสมบูรณ์แบบและจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้าอย่างเป็นทางการระหว่างรัสเซียกับนาโต้จริง ๆ เสียที
คำถามตอนนี้ที่หลายฝ่านสนใจคือ รัสเซีย จะมีก้าวต่อไปเมื่อไรและอย่างไร แน่นอนว่านี้คือคำถามที่เหล่ามหาอำนาจตะวันตกอยากรู้ที่สุดในเวลานี้
และในขณะเดียวในช่วงวันที่ 13 มกราคม 2023 ที่ผ่านทางฝ่ายสหรัฐเองก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย โดยพวกเขาได้มีการพูดคุยกับทางรัฐบาลญี่ปุ่นในโอกาสที่นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนสหรัฐ
โดยในการเยือนครั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ได้มีการพูดคุยกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในเรื่องของการที่สหรัฐจะเข้ามาสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยของญี่ปุ่น
โดย 3 หัวข้อหลักที่มีการพูดคุยกันก็คือ ความร่วมมือด้านการป้องกันเชิงลึก, การขอซื้อมิสไซล์พิสัยกลางและพิสัยไกล และการเพิ่มกำลังทหารในจังหวัดโอะกินะวะของญี่ปุ่น (ปัจจุบันกองทัพสหรัฐกว่า 26,000 กองตั้งอยู่ในจังหวัดโอกินาวะ)
ขณะที่สื่ออย่าง Global Time ก็มองว่าเป้าหมายของความร่วมมือในครั้งนี้ระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นมีเป้าอยู่ที่การปิดล้อมศัตรูอย่างจีนที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกภายในทศวรรษนี้
โดยในช่วงเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมาทางคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นก็เพิ่งผ่านเอกสารด้านการป้องกันที่สำคัญ 3 ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ พร้อมอนุญาตให้มีความสามารถในการตอบโต้ (ประเทศที่ 3) ได้ ซึ่งนี้คือการปฏิรูปกองทัพญี่ปุ่นครั้งใหญ่นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว
แน่นอนว่าการเดินทางไปเยือนสหรัฐของนายกญี่ปุ่นในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงตัวให้เห็นถึงจุดยืนที่มีร่วมกันกับสหรัฐในการต่อต้านจีนบนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกแล้ว
เป้าหมายลึก ๆ ที่ญี่ปุ่นมองและปรารถนามากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น การปรับเปลี่ยนนโยบายด้านการป้องกันประเทศของพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติการเชิงรุกได้มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐสนับสนุนสิ่งเหล่านี้
และอีกเหตุผลที่เรามักไม่ทราบกันก็คืออุตสาหกรรมทางทหารมักถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ก่อนจะถูกนำมาใช้เชิงพาณิชย์ต่อในอนาคต ตรงนี้ระยะยาวแล้วประเทศจะได้ประโยชน์ และในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมทางทหารก็เป็นอุตสาหกรรมที่กระตุ้นการจ้างงานในช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ได้ดีไม่น้อยอีกด้วยเช่นกัน
ในขนะเดียวกันในการเยือนครั้งนี้ของญี่ปุ่นก็มีการลงนามข้อตกลงที่สำคัญมากระหว่างสองประเทศในเรื่องของอวกาศ ผ่านนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กับนายโยชิมาสะ ฮายาชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น
ซึ่งนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ข้อตกลงนี้จะเป็นการสนับสนุนความร่วมมือด้านอวกาศของญี่ปุ่นและสหรัฐ และความร่วมมือนี้พร้อมที่จะขยายไปยังพื้นที่ความร่วมมืออื่น ๆ”
ด้านองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (องค์การนาซา) บอกว่า ข้อตกลงนี้ถูกรู้จักในนาม “กรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสำหรับความร่วมมือในด้านการสำรวจอวกาศและการใช้พื้นที่บริเวณนอกโลก รวมไปถึงพื้นดวงจันทร์”
โดยญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งประเทศแรก ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ the US-proposed Artemis Accords โดยมีเป้าหมายเป็นประเทศที่ 2 ที่สามารถนำยานลงจอดบนดวงใจ รวมไปถึงการสร้างฐานทัพบนดวงจันทร์เพื่อป้องกันการทำลายและแทรกแซงจากประเทศคู่แข่งทั้งหลายอย่างจีน!!
ตอนนี้ดูเหมือนสหรัฐอเมริกากำลังจะใช้ญี่ปุ่นเป็นทัพหน้าในการต่อต้านจีนซะแล้ว แต่ดูแล้ว ญี่ปุ่น คงยอมแลกเพื่อ ‘อำนาจอธิปไตย’ ของชาติในระยะยาว
เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ในเร็ว ๆ นี้
เรื่อง : เอกพล มงคลพัฒนกุล
#ญี่ปุ่นสหรัฐ #ปิดล้อมจีน #สงครามโลก #อวกาศญี่ปุ่น #ไบเดน