ทำไมถึงอยากให้ Eras Tour มาจัดแสดง?
- The Eras Tour เป็นการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่ 6 ที่กำลังดำเนินอยู่โดยนักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เทย์เลอร์ สวิฟต์ ประกอบด้วยการแสดง 152 รายการในห้าทวีป ทัวร์เริ่มในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566 ในเมืองเกลนเดล รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา และมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ในแวนคูเวอร์ แคนาดา Eras Tour เป็นทัวร์แรกที่ทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นทัวร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล
- นิตยสาร Fortune ประเมินการใช้จ่ายสุทธิของผู้บริโภคใน Eras Tour อยู่ที่ 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการวิเคราะห์โดย Mastercard รายงานว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 100 ล้านดอลลาร์จากร้านอาหารในสหรัฐอเมริกาในปี 2023 อันเป็ยผลมาจาก Eras Tour โดยรวมแล้วผลกระทบทางเศรษฐกิจของทัวร์นี้เทียบได้กับการที่ท้องถิ่นนั้นๆ เป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาใหญ่ๆ เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซูเปอร์โบวล์ และฟุตบอลโลก
- ดังนั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้เครดิต เทย์เลอร์ สวิฟต์ ในการส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวงกว้าง ในขณะที่ The Wall Street Journal บัญญัติคำว่า Taylornomics เพื่ออธิบายเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ Eras Tour บางคนใช้คำว่า Swiftonomics เพื่อชี้ให้เห็นว่าการทัวร์คอนเสิร์ตนี้ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากแค่ไหน
เศรษฐกิจที่คึกคักขึ้นมาเพราะ Eras Tour
ในการแสดงสามวันในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา ทำให้ความต้องการห้องพักในโรงแรม บริการที่จอดรถ และร้านเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก คอนเสิร์ตสร้างรายได้ด้นภาษีให้กับเมืองถึง 730,000 ดอลลาร์สหรัฐ
เมืองต่างๆ ในสหรัฐฯ รายงานคล้ายๆ กันว่ายอดจองโรงแรมพุ่งเป็นประวัติการณ์ เช่น แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี รายงานรายได้โรงแรมรวม 28 ล้านดอลลาร์จากสองคืน ส่วนรัฐอิลลินอยส์มีรายได้โรงแรมสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบปีงบประมาณ เป็นต้น
Veja สื่อของบราซิล ประเมินว่าทัวร์นี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับบราซิลได้ถึง 400,000,000 ดอลลาร์เรอัล (74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
มิตสึซามะ เอโต ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเมืองโตเกียว คาดการณ์ว่าการกระตุ้นทางเศรษฐกิจจากทัวร์นี้ต่อญี่ปุ่นจะสูงถึง 34,100,000,000 เยน (229.6 ล้านเหรียญสหรัฐ)
แซลลี่ แคพพ์ นายกเทศมนตรีเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่าทัวร์นี้คาดว่าจะสร้างรายได้มูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเมืองถึง 1,200,000,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
แคร์รี่ เมเทอร์ ผู้บริหารระดับสูงของ Venues NSW องค์กรจัดการสถานที่จัดแสวดงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่าการแสดงทั้ง 4 รายการในเมืองซิดนีย์จะสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐนิวเซาท์เวลส์ประมาณ 135,800,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (88.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ธุรกิจการเดินทางรอดมาได้เพราะทัวร์เธอ
นอกจาก Eras Tour จะกระตุ้นการจองโรงแรมและการใช้จ่สยเพื่อการบริโภคแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการธุรกิจเกี่ยวกับเดินทางอย่างมากด้วย ถึงขนาดที่ CNN ยกย่องสวิฟต์ว่าเป็น "ผู้กอบกู้ระบบขนส่งมวลชน" โดยรายงานว่าหน่วยงานระบบขนส่งได้รับการกระตุ้นอย่างมาก หลังจากที่ซบเซาเพราะการแพร่ระบาดของโควิดแต่เพราะทัวร์ของเธอ กระตุ้นมห้ผู้ชมคอนเสิร์ตเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน รถประจำทาง และรถไฟไปและกลับจากสถานที่จัดงาน Eras Tour
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นวันจัดคอนเสิร์ตครั้งแรกในเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย สนามบินเมลเบิร์นมีสถิติการเดินทางที่คึกคักที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแง่ของผู้โดยสาร การบินขึ้นและลง
สายการบินหลักทั้งสองแห่งของสิงคโปร์ ได้แก่ สายการบิน Singapore Airlines และ Scoot มีความต้องการเที่ยวบินไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 โดยเฉพาะจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้าน Jetstar Asia Airways ยืนยันว่าเส้นทางที่เชื่อมต่อจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ มะนิลา และจาการ์ตา สู่สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และการจองเที่ยวบินไปและกลับจากสิงคโปร์บนแอป Traveloka เพิ่มขึ้นหกเท่าในช่วงวันที่แสดง Eras Tour
ผู้นำคนไนบ้างที่อยากชวนเทย์เลอร์ สวิฟต์?
- กาเบรียล โบริก ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของชิลี เขียนถึงสวิฟต์โดยขอให้เธอนำทัวร์ไปที่ชิลี จากการรายงานของ Billboard เขาบอกว่า “ผมเขียนถึงเธอเมื่อไม่นานมานี้ มาดูกันว่าเธอจะตอบหรือไม่ เพื่อว่าสักวันหนึ่งเธอจะพาพวกเราไปทัวร์ละตินอเมริกาด้วย” เขายังประกาศตัวเองว่าเป็น Swiftie (แฟนเพลงตัวยงของสวิฟต์)
- นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด แห่งแคนาดา เชิญสวิฟต์ให้ทัวร์แคนาดา หนึ่งเดือนต่อมา สวิฟต์ได้ประกาศการแสดงหกรายการในโตรอนโต ตามมาด้วยการแสดงสามรายการในแวนคูเวอร์ในปลายปีนั้น การเชิญครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีเสียงติงจากสมาชิกรัฐสภาแคนาดายื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธานสภา โดยแสดงความไม่พอใจที่ Eras Tour "เมิน" แคนาดา
- เกอร์เกลี คาราชโซนี นายกเทศมนตรีเมืองบูดาเปสต์เขียนจดหมายถึงสวิฟต์ เพื่อขอทัวร์ในฮังการี โดยบอกว่า "ผมเขียนจดหมายถึง เทย์เลอร์ สวิฟต์!! แม้ว่าบูดาเปสต์จะไม่รวมอยู่ในที่แวะของ Eras Tour แต่ผมรู้ว่าหลาย ๆ คนชอบที่นี่ ดังนั้นผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มาเยี่ยมเราเช่นกัน"
- จ้าวเส่าคัง สมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคฝ่ายค้านของไต้หวัน กล่าวในการอภิปรายทางโทรทัศระหว่างการรณรงค์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติของไต้หวันในปี 2024 ว่าเขาได้เชิญสวิฟต์ให้จัดคอนเสิร์ตที่ไทเปโดมที่เพิ่งเปิดใหม่ เขาอ้างว่าในตอนแรกสวิฟต์ตกลงที่จะแสดง แต่ต่อมาปฏิเสธเนื่องจาก "ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์" เนื่องจากกรณีจีนและไต้หวัน
- มาร์การิติส ชินาส รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กระตุ้นให้สวิฟต์ ช่วยแก้ไขจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ "ต่ำเป็นประวัติการณ์" ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปที่กำลังจะมีขึ้น ด้วยการพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน Eras Tour ของยุโรป
- พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เคยพยายามเชิญให้สวิฟต์นำ Eras Tour มาแสดงที่ประเทศไทย พร้อมข้อสังเกตว่าการรัฐประหารของไทย พ.ศ. 2557 นำไปสู่การยกเลิกการแสดงทัวร์ The Red Tour ในกรุงเทพฯ ของสวิฟต์ในปีนั้น แต่ตอนนี้ประเทศได้กลายเป็นประชาธิปไตยแล้วในเวลานี้
รัฐบาลต่างๆ ขัดแย้งกันเพราะเทย์เลอร์
แกรนท์ โรเบิร์ตสัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของนิวซีแลนด์กล่าวว่า แม้ว่าเขาจะผิดหวัง และแม้ว่าสวิฟต์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้อาจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็จะไม่ทุ่มเงินสาธารณะในการรณรงค์เพื่อทัวร์ครั้งนี้มาแสดงที่นิวซีแลนด์ คำกล่าวนี้ชัดเจนขึ้นมาว่ามีการแย่งชิง Eras Tour ระหว่างนิวซีแลนด์กับเพื่อนบ้าน เมื่อ นิก ซอตเนอร์ ซีอีโอของ Eden Park สถานที่จัดกีฬาและการแสดงในเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์อ้างว่าเขาไม่สามารถแข่งขันกับเงินทุนสำหรับแคมเปญ Eras Tour ของออสเตรเลียได้
ความขัดแย้งนี้ยังลามมาถึงเอเชีย เมื่อ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทยอ้างว่ารัฐบาลสิงคโปร์เสนอเงินอุดหนุน 2 ล้าน - 3 ล้านดอลลาร์ต่อการแสดงเพื่อแลกกับการผูกขาด Eras Tour ให้แสดงในสิงคโปร์เท่านั้น เรื่องนี้ทำให้ โจอี ซัลเซดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งฟิลิปปินส์ วิพากษ์วิจารณ์สิงคโปร์ที่ทำข้อตกลงผูกขาดดังกล่าว โดยบอกว่าการทำแบบนั้นไม่ใช่ "เพื่อนบ้านที่ดี" และไม่คำนึงถึงหลักการแห่งความสามัคคีซึ่งเป็นรากฐานของการก่อตั้งอาเซียน เขาเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ขอคำอธิบายเกี่ยวกับข้อตกลงจากสถานทูตสิงคโปร์ประจำฟิลิปปินส์
Photo by DAVID GRAY / AFP