เรื่องมันมีอยู่ว่า "ซันนี่ แบกเป้เกอร์" ยูทูเบอร์ชาวไทยไปเที่ยวงานปีใหม่เขมร (โจลฉนำทเมย) ที่เมืองเสียมเรียบ แล้วพบกับบรรยากาศที่เงียบเหงา เจ้าตัวเลยรีวิวปีใหม่เขมร (ซึ่งตรงกับสงกรานต์ของไทย) ไปตามนั้น
ปรากฏว่าคนเขมรแค้นเคืองกันใหญ่ ทำให้เพจของยูทูปเบอร์ถูกถล่มจากชาวเขมรไปตามระเบียบ แต่ยังมีคนไทยบางส่วนที่ตำหนิเขาด้วยว่า ไม่ดูวันเวลาการเล่นน้ำของคนที่นั่นให้ดีก่อน เพราะอาจจะยังไม่ถึงกำหนดเล่นก็เป็นได้
เรื่องไปผิดเวลาก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่จะวางเฉยไม่ได้คือ คือการที่ ซันนี่ แบกเป้เกอร์ ถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่สนามบินเมืองเสียมเรียบขณะขึ้นเครื่องบินจะกลับไทย
เจ้าหน้าที่คนนี้โพสต์ภาพเครื่องบินที่ ซันนี่ แบกเป้เกอร์ กำลังโดยสาร พร้อมข้อความว่า "เฉียดหนักมาก สงกรานต์ปีหน้ามาเที่ยวอีกนะ"
จากมุมของภาพถ่ายมีการวิเคราะห์ในหมู่ชาวเน็ตไทยกันว่า เจ้าของโพสต์น่าจะทำงานในหอบังคับการบิน ซึ่งหากเป็นเรื่องจริง ถือเป็นการละเมิดระเบียบปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรง และยังใช้วาจาที่ข่มขู่ผู้โดยสารอีก
เจ้าของเพจ Backpaeger แบกเป้เกอร์ ถึงกับโพสต์ว่ากรณีนี้ที่กัมพูชา "ความปลอดภัย= 0"
ต่อให้ไม่เป็นเจ้าหน้าที่การบิน การไป "เม้นต์" แบบนี้ก็ไม่ควร เพราะเท่ากับหมายหัวคนไทย
พูดถึงหมายหัวยังมีข่าวลือกันว่า ชาวเน็ตกัมพูชาตั้งค่าหัวกับ ซันนี่ แบกเป้เกอร์ เสียด้วย ซึ่งผมไม่พบข้อมูล หากมีจริงก็เชื่อว่าเป็นแค่โพสต์ลอยๆ ของพวก "เกรียนเขมร"
แต่ถึงจะโพสต์เอามัน มันก็สะท้อนว่า "คนเขมรไม่น่ารัก" และจากกรณีนี้พูดได้เลยว่า "พร้อมจะบวกกับคนไทย" ได้ทุกเมื่อ
นั่นหมายความว่า นี่คือประเทศที่มีประชาชนไม่เป็นมิตรกับคนไทย
ดังนั้น คนไทยควรถามตัวเองกันดูครับว่า ควรจะไปเที่ยวประเทศจำพวกนี้หรือไม่ หรือควรจะไปที่อื่นที่เขาต้อนรับเราดีๆ หรือไม่ถึงกับต้องต้อนรับหรอก แค่ไม่หมายหัวหรือพร้อมบวกก็พอ
เอาตรงๆ นะครับ การข่มขู่ของคนที่สนามบินเสียมเรียบทำให้กัมพูชาดูดิบเถื่อนสำหรับคนไทยไปแล้ว เราไม่มีทางรู้ว่า ต่อหน้าที่ต้อนรับนั้น ลับหลังจ้องจะหาเรื่องเราหรือเปล่า?
คนไทยควรจะไปเที่ยวประเทศแบบนี้หรือไม่ คิดดูให้หนักๆ ครับ ผมเป็นห่วง
แต่ถ้าไทยไม่ไปเที่ยวบ้านเมืองนั้น ก็เกรงว่าคนที่นั่นจะตกระกำลำบาก
เพราะกัมพูชาเองมีทุกวันนี้มาได้เพราะเงินจากนักท่องเที่ยวไทยแท้ๆ คนเขมรอาจจะไม่รู้ แต่ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2024 เผยข้อมูลนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี 2023
ทั้งปีที่แล้วคนไทยมาเที่ยวกัมพูชามากที่สุด คือ 1.82 ล้านคน รองลงมาคือเวียดนาม 1.01 ล้านคน จีน 547,789 ล้านคน
รวมแล้วนักท่องเที่ยวทั้งหมดนำรายได้เข้ากัมพูชา 3.04 พันล้านดอลลาร์
มาถึงก่อนสิ้นไตรมาสแรก (เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) ไทยก็ยังครองแชมป์ไปเที่ยวกัมพูชาในอันดับที่หนึ่ง คือ 247,530 คน
กัมพูชาไม่ได้เปิดเผยรายได้แต่ละกลุ่มนักท่องเที่ยว แต่ก็ชัดเจนว่าคนไทยอีกนั่นแหละที่เอาเงินไปให้คนเขมรมากที่สุด เพราะไปมากสุดก็ย่อมใช้จ่ายมากที่สุด
แต่ในระยะหลัง คนไทยเริ่มไม่พอใจกัมพูชามากขึ้น เพราะเรื่อง "เคลมโน่นเคลมนี่" รวมถึงการเคลมกรรมสิทธิ์เทศกาลสงกรานต์ ถึงขนาดเลิกใช้คำว่า "โจลฉนำทเมย" ที่ใช้กันมาแต่รุ่นปู่ย่าตายาย มาใช้คำว่า "สังกรานต์" เพื่อหวังจะชิงดีชิงเด่นกับไทย
เรื่องเคลมนี่นะครับ ไม่ใช่เพราะคลั่งชาติอะไรหรอก ผมเชื่อว่าทางการเขมรปั่นคนในประเทศตัวเองให้เข้าใจอะไรผิดเพี้ยน เพื่อที่จะฉกเอาความสำเร็จของไทยมาเป็นของตัวเอง เช่น เห็นสงกรานต์ของไทยคนมาเที่ยวเยอะ ได้เงินเป็นแสนล้าน ก็เลิกใช้คำเขมรเรียกปีใหม่ มาใช้คำคล้ายๆ ไทย เพื่อที่จะตบตาแล้วก็ล่อนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้านตัวเอง
แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าคนไทยนี่แหละทีไปเที่ยวเมืองเขมรมากที่สุด
แล้วพอมีคนไทยบางคนหลงไปเที่ยวงานบ้านเมืองนั้น แล้วพบกับความเงียบเหงา (เพราะล่อนักท่องเที่ยวมาไม่ได้) ก็พาลโกรธคนไทยถึงกับจะเอาเรื่อง
กรณีนี้ทำให้คนไทยตาสว่าง เกิดเสียงเรียกร้องไม่ให้ไปเที่ยวกัมพูชา เพราะหาความเป็นมิตรไม่มี และไม่ยอมรับสภาพตัวเอง และรับคำวิจารณ์ไม่ได้ แล้วก็หาเรื่อง อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่ศิวิไลซ์
ถ้าเพื่อนบ้านยังมีพฤติกรรมแบบนี้ ควรหรือที่คนไทยจะสนับสนุนต่อไป?
ไม่ใช่เพราะผมเกลียดเขมรถึงบอกแบบนี้ ผมนี่รักคนเขมรเหมือนคนไทย เพราะนอกจากจะเป็นคนเหมือนกัน ยังเป็นญาติกันในทางวัฒนธรรม ใกล้ชิดกันเหมือนพี่น้องที่ชิดกันเกินไป จนลงมือลงไม้กันบ่อยๆ
ผมไปเมืองเขมรหลายครั้ง น้อยครั้งที่จะเจอคนไม่ดี แต่ในระยะหลังคนไม่ศิวิไลซ์มันเยอะขึ้นในโซเชียลมีเดีย และแถมแสดงอาการเลวร้ายขึ้นทุกวัน ทำให้ต้องคิดให้ดีว่าจะไปกัมพูชาดีไหม? เพราะไม่รู้ว่าจะเขาจะดุดันเหมือนในเน็ต หรือว่ายังเป็นคนน่าคบหาเหมือนก่อน
ผมเป็นห่วงกัมพูชาและคนเขมร ในขณะที่คนไทยมีความยั้งคิดมากขึ้น เพราะถูกสั่งสอนให้คิดแบบวิเคราะห์และเห็นอกเห็นใจคน แม้แต่ชาติไทยก็ยังถูกคนไทยตั้งคำถาม และยังเป็นห่วงคนเขมรด้วยซ้ำจากกรณียูทูเบอร์คนไทย นั่นแสดงถึงคุณภาพวิธีคิดของคนไทยว่าก้าวหน้าแค่ไหน
แต่คนเขมรนั้นกลับขาดความยั้งคิดขึ้นทุกวัน มีพฤติกรรมที่คลั่งชาติ หรือ Chauvinism อย่างรุนแรง คือคิดว่า ข้าดีกว่าเอ็ง ประเทศเราเหนือกว่า วัฒนธรรมเราเป็นต้นกำหนดของทุกสิ่ง ผู้นำเราฉลาดล้ำ ผู้คนของเราเป็นเลิศ วิธีคิดแบบนี้ไม่ใช่รักชาติหรอกครับ เป็นอาการของคนถูกมอมเมาจากนักการเมืองให้เชื่ออะไรผิดๆ
อาการพวกนี้แหละ ทำให้คนเขมรระดับปัญญาชนกลายเป็นคนปัญญาดับ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองถึงกับข่มขู่นักท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่เงินเดือนของคนพวกนี้ส่วนใหญ่มาจากรายได้ของทัวร์ไทยทั้งนั้น
ผมถึงบอกว่า ให้คนไทยคิดดีๆ ก่อนไปเที่ยว ไม่ใช่จะบอยคอต แต่เราควรสั่งสอนคนจำพวกนี้บ้างให้เกิดความหลาบจำ เพราะถ้าไม่เจ็บแล้วไม่มีวันจำ
เหมือนจีนเคยบอยคอตบางประเทศด้วยการไม่ไปเที่ยวมันซะ ตอนแรกปากก็บอกว่าดีจังจีนไม่มาบ้านเมืองสงบสุขขึ้น แต่พอนานๆ เข้าเศรษฐกิจเริ่มพัง หลังจากนั้นก็เริ่มโอดครวญหาทัวร์จีน
บางทีไทยเราอาจต้องทำแบบนั้นกับเขมรบ้าง ให้รู้สำนึก เมื่อคลายความดื้อดึงลงแล้ว ค่อยมาพิจารณาอีกทีว่าควรจะเอาเงินไปใช้จ่ายในประเทศนี้หรือไม่
ผมไม่แนะนำให้หยุดเที่ยวไปตลอดกาล เพราะสงสารคนประเทศนี้ที่ยังยากจนที่สุุดแห่งหนึ่งในโลก แต่เสนอให้คนไทยลองคิดดีๆ ว่าบางทีการสั่งสอนพฤติกรรมก้าวร้าวของเพื่อนบ้านด้วยวิธีที่มีอารยะแบบนี้ จะช่วยให้พวกเขาคิดได้เสียที
ส่วนรัฐบาลไทยที่คิดจะทำ "เชงเก้นวีซ่า" กับห้าประเทศรวมถึงกัมพูชานั้น ผมไม่เห็นด้วย เหตุผลแรกคือ ทำไมเราต้องไปแบ่งรายได้หลักของเรากับประเทศอื่น? และสอง ทำไมเราต้องไปอุ้มประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับเราด้วย?
ไทยมีแต่เสียกับเสีย ขณะที่คนไทยก็จะถูกเพื่อนบ้านเยาะเย้ยว่าเอาเงินมาใส่พานให้พวกเขาฟรีๆ
คิดดีๆ นะครับทั้งคนไทยและรัฐบาลไทย
มีคำกล่าวว่า See Angkor Wat and Die นั่นคือ ไปชมนครวัดแล้วตายตาหลับ
แต่ผมไม่เชื่อคำพูดนี้ เพราะมีอีกหลายที่ในโลกที่น่ามหัศจรรย์ ไปดูมาแล้วอุทานกับตัวเองว่า "ตายตาหลับแล้วโว้ยเรา" แต่กับนครวัดนั้น ไม่ได้อัศจรรย์ใจขนาดนั้น
และตราบที่คนเขมรไม่อบรมกันเองให้มีความศิวิไลซ์กับมนุษย์ (คนไทย) ด้วยกัน ตราบนั้นต่อให้มีนครวัดสักสิบที่ ผมว่าก็ไม่คุ้มหรอกครับที่คนไทยจะเสียเวลาไป
สุดท้ายนี้จะขอมอบบทกลอนที่แต่งโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2502 หลังกรณีเขาพระวิหาร ท่านเขียน "ด่าเขมร" เอาไว้สมกับเป็นผู้ดีไทยว่า
ไทยถูกฟ้องขับไล่ขึ้นโรงศาล
เคยเป็นเรื่องโต้เถียงกันมานาน
ที่ยอดเขาพระวิหารรู้ทั่วกัน
กะลาครอบมานานโบราณว่า
พอแลเห็นท้องฟ้าก็หุนหัน
คิดว่าตนนั้นใหญ่ใครไม่ทัน
ทำกำเริบเสิบสันทุกอย่างไป
อันคนไทยนั้นสุภาพไม่หยาบหยาม
เห็นใครหย่อนอ่อนความก็ยกให้
ถึงล่วงเกินพลาดพลั้งยังอภัย
ด้วยเห็นใจว่ายังเยาว์เบาความคิด
เขียนบทความด่าตะบึงถึงหัวหู
ไทยก็ยังนิ่งอยู่ไม่ถือผิด
สั่งถอนทูตเอิกเกริกเลิกเป็นมิตร
แล้วกลับติดตามต่อขอคืนดี
ไทยก็ยอมตามใจไม่ดึงดื้อ
เพราะไทยถือเขมรผองเหมือนน้องพี่
คิดตกลงปลงกันได้ด้วยไมตรี
ถึงคราวนี้ใจเขมรแลเห็นกัน
หากไทยจำล้ำเลิกบ้างอ้างขอบเขต
เมืองเขมรทั้งประเทศของใครนั่น ?
ใครเล่าตั้งวงศ์กษัตริย์ปัจจุบัน
องค์ด้วงนั้นคือใครที่ไหนมา ?
เป็นเพียงเจ้าไม่มีศาลซมซานวิ่ง
ได้แอบอิงอำนาจไทยจึงใหญ่กล้า
ทัพไทยช่วยปราบศัตรูกู้พารา
สถาปนาจัดระบอบให้ครอบครอง
ได้เดชไทยไปคุ้มกะลาหัว
จึงตั้งตัวขึ้นมาอย่างจองหอง
เป็นข้าขัณฑสีมาฝ่าละออง
ส่งดอกไม้เงินทองตลอดมา
ไม่เหลียวดูโภไคไอศวรรย์
ทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นหนักหนา
ฝีมือไทยแน่นักประจักษ์ตา
เพราะทรงพระกรุณาประทานไป
มีพระคุณจุนเจือเหลือประมาณ
ถึงลูกหลานกลับเนรคุณได้
สมกับคำโบราณท่านว่าไว้
อย่าไว้ใจเขมรเห็นจริงเอย..."
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by TANG CHHIN Sothy and TANG CHHIN SOTHY / AFP