SVB ล้ม! จุดเริ่นต้นของปัญหา เพื่อเป้าหมายขยายเพดานหนี้ สู่การเร่งโละระบบเศรษฐกิจเพื่อก้าวสู่ NWO

SVB ล้ม! จุดเริ่นต้นของปัญหา เพื่อเป้าหมายขยายเพดานหนี้ สู่การเร่งโละระบบเศรษฐกิจเพื่อก้าวสู่ NWO

 

ถ้าจะมีสักประเทศหนึ่งบนโลกที่มักจะทำอะไรดูแล้วขัดกับตรรกะเหตุผลไปซะหมดทั้ง ๆ ที่คนบนโลกมองว่าทำแบบนี้แล้วไม่น่าจะดีแต่พวกเขาก็ยังทำ สำหรับแอดมินแล้วชื่อประเทศที่เป็นเบอร์หนึ่งในดวงใจของการทำเรื่องแบบนี้ก็คือ สหรัฐอเมริกา

อย่างเรื่องบอลลูนที่หลายคนคิดว่าเป็น UFO จนสหรัฐสอยร่วงแล้วก็กล่าวหาว่าเป็นการสอดแนมของจีน แต่ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่บอลลูนเป็นของใคร 

เพราะหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมสหรัฐปล่อยมันลอยอยู่ต้องนานสองนานเรียกว่าแทบจะบินความประเทศสหรัฐอยู่แล้วเพิ่งจะมาตื่นตระหนกสอยมันร่วง?

รวมไปถึงการออกมาแฉของนักข่าวสายสืบสวนสอบสวนอย่างคุณซีมัวร์ เฮิร์ช ว่าแท้ที่จริงแล้ว CIA คือผู้อยู่เบื้องหลังการระเบิดท่อก๊าซนอร์ดสตรีม 2 ทั้ง ๆ ที่รัสเซียกับพวกเขาก็ไม่ได้เป็นประเทศติดกันแต่อย่างใด

หรืออย่างเรื่องสงครามยูเครนที่สหรัฐมีการอนุมัติงบประมาณมากกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้วเพื่อช่วยยูเครนรบกับรัสเซีย ซึ่งสหรัฐไม่ได้อยู่ใกล้กับยูเครนแต่อย่างใด

แต่พอเป็นธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley Bank) ซึ่งมีปัญหาในเรื่องของสภาพคล่องจากการถูกถอนเงินไม่หยุดมาตั้งแต่ก่อนวันพุธก่อนที่เราจะเห็นข่าวว่าพวกเขาขาดทุนจากการขายพันธบัตรไป 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเอาเงินมาให้ลูกค้าให้ทันต่อการถอน

ซึ่งเจ้าธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ใหญ่เป็นอันดับ 16 ของสหรัฐมีทรัพย์สินอยู่ในบริษัทราว 2 แสนล้าน และเงินฝากอีก 175,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่าการล้มของมันกระทบความเชื่อมั่นไม่น้อย

แต่ทำไมรัฐบาลสหรัฐถึงเลือกไม่อุ้มหรือให้ความช่วยเหลือ เพราะถ้าทำก็จะช่วยให้ความมั่นใจในระบบธนาคารฟื้นตัวกลับมาได้

แต่พวกเขากลับเลือกสั่งปิดไปเลย!! และให้ความช่วยผ่าน สถาบันประกันเงินฝากอย่าง Federal Deposit Insurance Corporation หรือ FDIC 

โดยช่วงแรกของการล้มทาง FDIC คุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ใครมีมากกว่านั้นต้องรอการชำระทางบัญชี หรือ การนำเอาทรัพย์สินที่เหลือไปขายทอดตลาดแล้วเอาเงินกลับมาแบ่งให้

ก่อนที่หลังจากนั้นในวันที่ 13 มีนาคม 2023 จะปรับเป็นสามารถเข้าถึงเงินฝากได้แบบเต็มจำนวน

โดยการช่วยเหลือครั้งนี้ไม่ได้เอาภาษีประชาชนมาอุ้ม แต่ใช้วิธีตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องแทน โดยธนาคารที่ไม่มีสภาพคล่องก็มากู้เงินได้แต่ต้องเอาพันธบัตรที่มีในมือมาค้ำประกันแลกไปซึ่งจะได้เงินเต็มจำนวนตามหน้าตั๋วของพันธบัตร

คำถามต่อแล้วเอาเงินมาจากไหน คำตอบคือ กระทรวงการคลังใช้เงินของกองทุน Exchange Stabilization Fund มูลค่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาเป็นทุน

การเลือกใช้วิธีนี้มันทำให้อดนึกไม่ได้ว่าทำไมตอนวิกฤตปี 2008 ธนาคารยักษ์ใหญ่สามารถได้รับการช่วยเหลือได้ แต่พอเป็นธนาคาระดับท้องถิ่นตอนนี้กลับไม่ช่วย

แล้วคำถามคือหลังจากที่ลูกค้าเหล่านี้ที่ได้เงินคืน พวกเขาจะนำเงินเหล่านี้ไปฝากไว้ที่ธนาคารไหน

ใช่ธนาคารยักษ์ใหญ่รึเปล่า? เพราะว่าความเชื่อมั่นต่อธนาคารระดับกลางและท้องถิ่นได้หายไปแล้วจากเหตุการณ์นี้ ใครมันจะยังกล้าไปฝากกลุ่มธนาคารที่เสี่ยงพอ ๆ กัน เพราะฉะนั้นการเลือกะนาคารยักษ์ใหญ่จึงสมเหตุสมผลกว่าเยอะ!!

เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าธนาคารกลางของสหรัฐนั้นมีความสามารถในการพิมพ์เงินได้อยู่ตามใจปรารถนาเท่าที่ต้อง และนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 เป็นต้นมา อัตราดอกเบี้ยก็ต่ำติดดินมาโดยตลอด (0-0.25%) จนสภาพคล่องล้นไปทั้งโลก 

จนในปี 2022 ที่ผ่านมาภายใต้ข้ออ้าง ‘เงินเฟ้อ’ ซึ่งก็เป็นตัวเองที่สร้างมากับมือ (สร้างเพื่อมาเป็นข้ออ้างในวันนี้) FED ได้ยกอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงจาก 0-0.25% ไปสู่ 4.50-4.75%

แน่นอนว่าการทำแบบนี้มันคือการฆ่าธุรกิจที่ไม่มีกำไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ได้ด้วยการกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายหมุนไปจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น

และนักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง รวมไปถึงใครที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรุ่นเก่า ๆ ก็จะเผชิญหน้ากันราคาที่ปรับตัวลดลงของพันธบัตร (Bond Price) เพื่อชดเชยอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Bond Yield)

ซึ่งตามข่าวแล้วธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ก็มีการลงทุนในพันธบัตรและขายขาดทุนไปกว่า 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการที่เหล่าสตาร์ทอัพซึ่งเป็นลูกค้าฝากเงินของธนาคารนี้แห่ถอนเงินออกไปกันยกใหญ่ทำให้ธนาคารต้องรีบขายพันธบัตรแบบขาดทุนมหาศาลเพื่อเอาเงินมาให้ลูกค้า

วันศุกร์วันเดียวธนาคารซิลิคอนวัลเลย์โดนถอนเงินออกไปกว่า 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากสาเหตุอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว

อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการล้มก็คือการที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐมันสูงถึง 5% ในตอนนี้และเมื่อไปเทียบกับการฝากธนาคารที่ 0.5% มันแทบจะคนละเรื่อง

#จากแบงค์ล้มสู่การขยายเพดานหนี้

คราวนี้เราลองถอยออกมาดูภาพใหญ่กันบ้าง นาทีนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังมีปัญหาอย่างหนักเพราะความต้องการลดลงอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาหลัก ๆ ก็มาจากการที่สหรัฐดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปีมาตั้งแต่ปี 2001 ความหมายคือรัฐบาลกลางของสหรัฐใช้เงินมากกว่ารายได้ที่รับจากภาษีและด้านอื่น ๆ

พร้อมคาดการณ์ว่าปี 2024 จะขาดดุลมากถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

พร้อมกับหนี้สินรวมของประเทศที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2023

มันเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวมันเองมากว่าทำไมไม่มีใครซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสักเท่าไรในช่วงหลัง เพราะนับวันการถือเงินดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ก็มีแต่จะเสียเปรียบจากการเสื่อมค่าของมันผ่านการพิมพ์เงินเพื่อก่อหนี้ แบบชนิดที่ไม่คิดจะใช้คืนอยู่แล้ว

เมื่อความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐไม่มี แต่สหรัฐต้องการให้มันมี เพราะต้องใช้เงินเพื่อมาจ่ายดอกเบี้ยและการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ จะทำอย่างไร

การที่ผลตอบแทนระหว่างเงินฝากและพันธบัตรระยะสั้นมันมีความต่างกันมากก็มีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างความต้องการตรงนี้ ซึ่งก็จะสะท้อนให้เห็นผ่านผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทุกช่วงอายุตั้งแต่หลัก 3 เดือนจนถึง 30 ปี ของวันที่ 13 มีนาคม 2023 ว่าปรับตัวลดลง

ตรงนี้เป็นสัญญาณของตลาดถึงการได้กลิ่นการกลับลำนโยบายของ FED ว่าเตรียมกลับมาเพิ่มสภาพคล่อง?

ตรงนี้เมื่อมีผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นก็เท่ากับว่ามีเงินทุนให้รัฐบาลสหรัฐขยายเพดานที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้ใช่รึเปล่า?

การก่อหนี้ได้ก็หมายความว่ามีเงินสนับสนุนสงครามต่อไปด้วยใช่รึเปล่า? ซึ่งมีจุดหมายอยู่ที่การล้างหนี้

และการก่อหนี้ครั้งนี้ก็จะเร่งเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้นไปอีกแบบชนิดที่เรียกว่าหลุดการควบคุมไปเลยใช่รึเปล่า? (Hyperinflation)

หลังจากนั้นก็จะใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ได้สร้างรอไว้แล้ว หรือ ที่เรียกว่า CBDC มาแทนดอลลาร์สหรัฐของเก่าไปเลยใช่รึเปล่า  

ทั้งหมดนี้คือเส้นทางของการทำ The Great Reset ระบบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกที่ทาง The World Economic Forum เคยบอกไว้ใช่รึเปล่า?

โดยทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจาก ธนาคารที่ชื่อซิลิคอนวัลเลย์!!

TAGS: #ซิลิคอนวัลเลย์ #SVB #GreatReset #CBDC #ธนาคารล้ม #วิกฤตเศรษฐกิจ #ดอลลาร์สหรัฐ