"ผู้ชายเกาหลีหล่อกว่าผู้ชายไทย" นี่เราอยู่จักรวาลเดียวกันหรือเปล่า?

ช่วงหลังๆ มานี่เกาหลีใต้ทำให้คนไทยไปพอใจหลายครั้งเกินไปแล้ว

กรณีแรกๆ คือ การที่ ตม. เกาหลีเข้มงวดจัด ส่งคนไทยเข้า 'ห้องเย็น' เป็นว่าเล่น โดยไม่สนแปดสนเก้าว่า คนไทยบางคนไม่ใช่ 'ผีน้อย' แต่เป็นนักท่องเที่ยวแท้ๆ 

บางคนเป็นแฟนเคป๊อปตัวยง มีบัตรคอนเสิร์ตชัดๆ ที่พักก็จองเสร็จสรรพ ตม. เกาหลียังไร้ปราณี ส่งคนไทยกลับบ้านเฉย

จะจับผีน้อยเราเข้าใจ แต่จับคนไทยแบบไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้มันเกินเหตุ

การใช้อำนาจบาตรใหญ่กับคนไทยแบบนี้ ทำให้คนไทยที่ไม่ยอมคนง่ายๆ ก็เลยรวมหัวกันแบนเที่ยวเกาหลีมันซะเลยเมื่อหลายเดือนก่อน 

ปรากฏว่าล่าสุด สถิตินักท่องเที่ยวเข้าเกาหลีออกมาพบว่า ไทยที่เคยเป็นนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง หล่นไปอยู่ท้ายๆ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เข้าเกาหลีใต้เพิ่มเอาๆ แต่ไทยติดลบถึง 21% กว่าๆ 

เล่นเอาสื่อเกาหลีใต้ถึงกับเต้น วิเคราะห์กันหนักว่าเพราะพลังไทยแบนเกาหลีหรือไม่? 

ตอบเลยว่า "ใช่" เพราะคนไทยเราใจดีง่าย ให้เกียรติคนอื่นเป็น แต่ถ้าไม่ให้เกียรติเรา ก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

ข่าวนี้ถึงกับสะเทือนเพื่อนบ้านของไทยที่ยังนิยมเกาหลี เช่น อินโดนีเซียที่มีทัวริสต์ไปเที่ยวเกาหลีกันเยอะอยู่ แต่พอเจอข่าวนี้ เขาก็เริ่มคิดได้ว่า "พวกเกาหลีมันชอบเหยียดคนอาเซียนนี่หว่า" และบอกว่านี่คือพลังชาตินิยมอันแท้จริงที่ไทยเป็นตัวอย่างที่ดี

ปัญหาเกาหลีเหยียดไทยและอาเซียนทั้งปวงเป็นเรื่องจริง แต่ผมยังเชื่อว่ามันเป็นเฉพาะคน เพราะในบ้านเมืองหนึ่งๆ คนฉลาดก็มีคนโง่ก็มี ไม่ใช่ว่าเป็น "ชาติพัฒนาแล้ว" จะมีแต่คนที่ 'เอ็ดดูเขต' (educated) กันทั้งบ้านทั้งเมือง

ประเทศพัฒนาแล้วที่ "อิ๊กนอแร๊นท์" (ignorant) กันเป็นปกติก็มีถมไป โดยเฉพาะพวกชาติเล็กๆ ในเอเชียตะวันออก ที่ไม่เคยมีวัฒนธรรมการยอมรับความหลากหลาย เพราะเคยแต่เป็นเมืองคนคนอื่นเขาและปิดประเทศมาตลอด เลยไม่รู้ว่าการเป็น "ชาติศิวิไลซ์" ที่มีคนหลากเชื้อชาตินั้นเขาทำตัวกันแบบไหน

ล่าสุด ท่ามกลางความขัดแย้งทั้งหลายแหล่ระหว่างไทยกับเกาหลี มีคลิปหนึ่งยิ่งทำให้คนไทยเดือดดาลกับเกาหลีใต้

มันเป็นคลิปจาก Moji Street Interview ที่สัมภาษณ์หญิงชายคู่หนึ่ง ผู้หญิงไม่รู้ว่าเป็นคนชาติไหน แต่ผู้ชายเป็นเกาหลีใต้แน่ๆ (ผู้หญิงบอกว่า "เปล่าเราไม่ได้เดตกัน")

คำถามก็คือหลังจากที่ทั้งคู่เคยไปเมืองไทยมาแล้ว คิดว่าอะไรที่เป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมจนน่าตกใจ (Culture shock) ระหว่างเกาหลีใต้กับไทย

แทนที่จะตอบเรื่องวัฒนธรรม ฝ่ายชายกระซิบให้ผู้หญิงพูดอะไรบางอย่าง แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมท่าเดียว บอกให้ผู้ชายพูดเองแล้วกัน

ชายคนนั้นบอกว่า "ผู้ชายหล่อมาก" ผู้สัมภาษณ์ถามว่าที่เกาหลีหรือว่า ...? ผู้ชายบอก "เทียบกับไทย"

เมื่อยังไม่ชัดผู้สัมภาษณ์ถามซ้ำอีกว่า "คุณคิดว่าชายจากเกาหลีหล่อกว่าผู้ชายจากไทย?"

คำตอบจากหนุ่มเกาหลีคือ "แน่นอน"

คลิปนี้เหมือนราดน้ำมันเข้ากองเพลิงแค้นของคนไทยที่เกลียดเกาหลีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งอาฆาตพยาบาทหนักเข้าไปอีก คลิปนี้จึงเต็มไปเสียงด่าทอจากไทย และชาวต่างชาติอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยกับการบอกว่า "ผู้ชายเกาหลีหน้าตาดีกว่าชายไทย" 

ใช้สายตากะดู ร้อยทั้งร้อยคอมเมนต์บอกว่า "ชายไทยดูดีกว่า" และ "เกาหลีแบบคุณหน้าตาเหมือนเต้าหู้" 

ผมไม่อยากจะออกความเห็นเรื่องใครหล่อกว่าใคร (และไม่เห็นด้วยการบูลลี่หน้าตาใครก็ตาม) เพราะเรื่องหน้าตาดีเป็นเรื่อง "อัตวิสัย" (Subjective) นั่นคือ ขึ้นกับสายตา รสนิยม และอารมณ์ของคนๆ นั้น ไม่มีมาตรฐานสากลหรอกว่าอะไรคือหล่อ อะไรคือสวย 

บางวัฒนธรรมที่เห็น A หล่อ อาจจะบอกว่า  A ขี้เหร่ก็ได้ 

สิ่งที่วิจารณ์ได้ก็คือ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รักษาน้ำใจคน พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดต่อหน้าสาธารณะ  

เพราะเรื่องหน้าตาของคนแต่ละชาติเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งถูกมองว่าเป็นศักดิ์ศรีของชาติด้วยซ้ำ ยิ่งสองประเทศมีเรื่องบาดหมางกันอยู่แล้ว ยิ่งทำให้คนไทยรู้สึกว่า "เอาอีกแล้ว พวกเกาหลีเหยียดเราอีกแล้ว"

โดยส่วนตัวแล้วหลังจากดูคลิป ผมมีความเห็นสองข้อที่อาจจะไม่เหมือนชาวบ้านเขา

ข้อแรก ผมคิดในแง่ดีว่า ฝ่ายชายอาจจะจีบฝ่ายหญิงอยู่ ผู้หญิงอาจเป็นคนไทย ผู้ชายก็เลยฉวยโอกาสแซวด้วยจีบด้วยเพื่อจะบอกว่า "เรา (เกาหลี) หล่อกว่าหนุ่มไทยนะ"

ข้อสอง คิดในแง่ร้าย ผู้ชายคนนี้คือตัวแทนของระบอบ 'ชายแท้' อันเลวร้ายของเกาหลีใต้ ที่ทั้งหลงตัวเอง เหยียดผู้หญิง คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล

ต้องอธิบายก่อนว่าคำว่า 'ชายแท้' ในเมืองไทยตอนนี้กลายเป็นคำด่าไปแล้ว หมายถึงผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นเพศสูงส่งกว่า คำนี้นิยมใช้กันในหมู่พวก "ตาสว่างทางวัฒนธรรม" หรือ Wokism 

แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบคำนี้ เพราะมันดูเหมารวมไปหน่อย แต่คิดว่ามันช่วยอธิบายความหลงตัวเองของสังคมผู้ชายในเกาหลีใต้ได้ดี อย่างไรก็ตาม ผมขอใช้คำว่า Toxic Masculinity (ความเป็นชายที่เป็นพิษร้าย) จะดีกว่า 

Toxic Masculinity คือ พวกชายที่คิดว่าตัวเองจะแสดงความเป็นแมนได้ด้วยการบูลลี่คนอื่น เช่น บูลลี่ผู้หญิง บูลลี่เกย์ และบูลลี่ผู้ชายด้วยกันที่พวกเขาคิดว่าด้อยกว่าตน

โปรดเข้าใจว่า ตอนนี้ผู้ชายเกาหลีรู้สึกสั่นคลอนอย่างมาก เพราะผู้หญิงลุกขึ้นมาทวงถามความเป็นธรรมจากการถูกกดขี่ ถูกคาดหวังเกินเหตุ ถูกใช้งานจากผู้ชายท่าเดียว เพราะชายคิดว่าตัวเองเป็นผู้ผลักดันความก้าวหน้าของชาติแต่ผู้เดียว 

พอผู้หญิงเกาหลีใต้ทนไม่ไหว ก็ผลักดันขบวนการ 4B (หรือ "สี่ไม่") ขึ้นมา นั่นคือ การไม่มีเซ็กส์กับชาย (bisekseu), ไม่เลี้ยงลูกให้ (bichulsan), ไม่เดตกับชาย (biyeonae), ไม่แต่งงานกับผู้ชาย (bihon)

นี่คือปฏิกริยาโต้ตอบของผู้หญิงต่อพวกชายแท้เกาหลีที่เอาแต่กดขี่ แต่ขบวนการ 4B เป็นแค่ตัวแทนหนึ่งของขบวนการลุกฮือของผู้หญิงเกาหลีเท่านั้น มันแรงขนาดที่ผู้ชายเกาหลีสั่นไหว บางคนก็โกรธจนรวมหัวกันต่อต้าน และเรียกว่าพวกนี้ว่า Femi หรือเฟมินิสต์ เพื่อด้อยค่าคำที่หมายถึงสิทธิสตรี ให้กลายเป็นคำดูถูก

ทำไมขบวนการ 4B และ Femi ในเกาหลีถึงสะท้อนความไม่มั่นใจและสั่นคลอน  (insecurity)  ของผู้ชายเกาหลี จนต้องทำตัวให้ "แมนๆ" ยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะหมายถึงการยกตนข่มท่าน เช่น กล้าบอกว่า "เราหล่อที่สุด"?

มีบทความหนึ่งในวารสาร  Harvard Political Review เรื่อง Feminism is the New F-Word – Populism & Patriarchy Among Young South Korean Men (สตรีนิยมกลายเป็นคำด่าคำใหม่ ว่าด้วยประชานิยมและสังคมชายเป็นใหญ่ในหมู่ชายหนุ่มเกาลีใต้)

บทความนี้ย้ำอยู่ตลอดเรื่องความไม่มั่นใจและสั่นคลอนของชายหนุ่มเกาหลีใต้ หลังจากจักรวาลชายเป็นใหญ่ถูกท้าทาย เพราะผู้หญิงไม่ทนกับการกดขี่อีกต่อไป บวกกับประเทศเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ แทนที่ผู้ชายจะทบทวนตัวเอง กลับไปโทษผู้หญิงที่ทวงความเป็นธรรมเสียอย่างงั้นว่า "พวกแกนั่นแหละตัวการ"  เพราะ 'ชายแท้' พวกนี้คิดว่าผู้หญิงที่ทวงความเป็นธรรม กำลังทำลายค่านิยมของสังคม จนทุกอน่างสะเทือนเป็นโดมิโนไปหมด

ตอนหนึ่งของบทความบอกว่า "ชายหนุ่มได้โยกเอาความคับข้องใจทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นโดยการใช้ผู้หญิงเป็นแพะรับบาป ให้เป็นกลุ่มนอกกลุ่มใหม่ที่รับผิดชอบต่อปัญหาเหล่านี้"

ส่วนนักการเมืองยิ่งแล้วใหญ่ "กล่าวโทษผู้หญิงในเรื่องสังคม เช่น อัตราการเกิดต่ำ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้า และการล่มสลายของระบบคุณธรรม" เพราะคิดแบบนี้นั่นเอง เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงต้องรวมตัวกันเป็นขบวนการ 4B 

ในเมื่อผู้ชายเกาหลีถูกผู้หญิงท้าทาย แล้วเกี่ยวอะไรกับการ "หลงตัวเอง" ว่าพวกเขาหล่อกว่าคนอื่น? 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาพื้นฐานในเกาหลีใต้ด้วย นั่นคือการเหยียดชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าเป็นพวก Jungle Asians คือพวกเอเชียที่อยู่ป่าดง เป็นคำที่ใช้กับคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด และนิยมใช้กันในหมู่พวกเอเชียตะวันออกที่ไปอยู่สหรัฐฯ เพื่อดูถูกพวกเอเชียตอนใต้

คงจะเคยได้ยินว่า คนเกาหลีหรือญี่ปุ่นบางคนโกรธที่ถูกทักว่า หน้าตาเหมือนคนไทยหรือฟิลิปินส์ นี่คือตัวอย่างที่สุดแนวคิดอคติของพวกนี้ คนที่คิดว่าตัวเองเป็น Fancy Asians หรือเอเชียหรูเลิศ

ทัศนะของเกาหลีนั้นดูถูก Jungle Asians อยู่แล้ว เมื่อบวกกับสังคมชายเป็นใหญ่ จึงทำให้เกิดความมั่นใจอะไรผิดๆ ได้ง่าย เช่น "เกาหลีฉลาดที่สุด" "เกาหลีเป็นเจ้าของทุกสิ่ง" และ "เกาหลีหน้าตาดีที่สุด"

แต่ความมั่นใจอะไรผิดๆ แบบนี้ กำลังถูกท้าทายโดยเริ่มต้นจากผู้หญิงก่อนที่ทำลาย Toxic Masculinity จนผู้ชายเกาหลีเสียความมั่นใจผิดๆ ลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในตนเอง เช่น พวก 4B ไม่อยากจะเดตกับผู้ชายเกาหลีแล้ว 

เมื่อผู้หญิงชาติเดียวกันยังไม่เอา ผู้ชายเกาหลี (บางคนที่หลงตัวเอง) จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไม่สูญเสียความมั่นใจ แม้แต่การรวบรวมความกล้าเพื่อบอกว่าเราหล่อกว่า (คนไทย) นะ

แต่ผู้ชายในคลิปนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกมาในตอนแรก จนกระซิบบอกให้ผู้หญิงบอกคำๆ นั้น ซึ่งถ้าเธอเป็นคนพูดเองก็จะซวยอย่างหาที่เปรียบมิได้ 

แค่กรณีนี้ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า พวก 'ชายแท้' เกาหลีนั้นมีคุณภาพระดับใด

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better  
 

TAGS: #เกาหลีใต้