เจาะสมองเพื่อนบ้าน คิดยังไงถึงได้ชอบอ้างว่า 'ลิซ่า' เป็นคนเขมร? 

เจาะสมองเพื่อนบ้าน คิดยังไงถึงได้ชอบอ้างว่า 'ลิซ่า' เป็นคนเขมร? 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ลิซ่า 'ลลิษา มโนบาล' ถูกเคลมโดยคนกัมพูชาว่าเป็น "คนเขมร"

ในช่องคอมเมนต์ของโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับ MV ตัวใหม่ของลิซ่า คือ Rockstar มีคอมเมนต์ประเภทนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองไปดูกันได้ เช่นบอกว่าลิซ่าเป็นความภาคภูมิใจของคนเขมรอย่างพวกเรา และประมาณว่าลิซ่าเป็นคนเขมรนะจ๊ะ 
 
การอ้างว่าไอดอลและคนดังของไทยเป็นคนกัมพูชามีมาแล้วหลายครั้ง ต่อให้คนไทยปั่นกันเองบ้าง แต่มันก็มีการเคลมแบบนี้จริงๆ จนผมสงสัยว่ากัมพูชาไม่มีคนที่มีสติปัญญาพอที่จะห้ามปรามเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้กันเองเลยหรือ?

สภาวะจิตของคนกัมพูชาบางคนนั้นแปลกประหลาดกว่าชาติอื่น เพราะมักจะเชื่อมั่นอะไรผิดๆ มีอาการหลอกตัวเอง  และเชื่อว่าชาติตัวเองเป็นเทวดาเหนือกว่าชาติอื่น ทั้งๆ ที่สถานะทางการเมืองและเศรษฐกิจของกัมพูชาไม่มีอะไรให้น่าภูมิใจเลยสักนิด 

ผมจึงเคยวิเคราะห์ว่า กัมพูชาบางคนนั้น "หิวแสง" และ "มักง่าย" จึงโหนประเทศที่ประสบความสำเร็จมากว่า จะได้ทุ่นแรงในการโปรโมทตัวเอง

นี่เป็นเพราะการสร้างแนวคิด "ชาตินิยมชั้นต่ำ" คือการปลุกให้คนกัมพูชาเกลียดเพื่อนบ้าน แทนที่จะเกลียดนักการเมืองที่ทำใหเศรษฐกิจของพวกเขายากจนที่สุดประเทศหนึ่งในโลก 

แทนที่จะต่อต้านนักการเมืองที่ปล้นสิทธิเสรีภาพและความกินดีอยู่ดีของพวกเขาไป ก็ปั่นให้ประชาชนเกลียดไทย มองไทยว่าเป็น "หัวขโมยที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเรา" เมื่อประชาชนเชื่อชุดความคิดนี้แบบเชื่องๆ แล้ว ประชาชนก็จะเลิกเพ่งเล็งนักการเมืองไปเอง

นับวัน "ชาตินิยมชั้นต่ำ" นี้ทำให้คนกัมพูชามีสติปัญญาคับแคบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มอ้างว่า "ส่วนหนึ่งของแผ่นดินไทยเคยเป็นของเรา" และเขียนแผนที่เอาเองเหมือนเด็กอนุบาลที่ระบายสีบนแผ่นที่ทับดินแดนของไทยในปัจจุบัน เพื่ออ้างว่า "นี่เป็นของเรา พวกสยามมันขโมยไป" 

ดินแดนที่พวกกัมพูชาที่ตกเป็นเหยื่อ "ชาตินิยมชั้นต่ำ" มักจะอ้างว่าเป็นของตน ก็เช่น จังหวัดแถบอีสานใต้ (ล่าสุดอ้างไปถึงอีสานตอนกลางและภาคกลางของไทย) เพราะเชื่อว่า "คนที่นั่นมีคนพูดภาษาเขมร ดังนั้นมันควรจะเป็นของกัมพูชา"

จังหวัดที่ว่านั้นก็รวมถึงบุรีรัมย์ด้วย ซึ่งมีพลเมืองพูดภาษาเขมรอยู่จริง เช่นเดียวกับภาษาส่วย กูย รวมถึงลาว (อีสาน) ไทยกลาง และไทยถิ่นอื่นๆ 

ด้วยตรรกะนี้ คนเขมรจึงอ้างว่า ก็ลิซ่าอยู่ในจังหวัดที่มีประชากรพูดเขมรก็ควรเป็นคนเขมรกัมพูชา และในเมื่อดินแดนเหล่านี้เป็นของคนพูดเขมร ก็ควรเป็นดินแดนของเราสิ ไม่ใช่ของไทย

ตรรกะแบบนี้ไม่ได้มีแค่กัมพูชา แต่มีทุกหนแห่งในโลกที่มีคนพวกที่เรียกว่า "พวกคลั่งดินแดนคนอื่น" เป็นพวกเพ้อฝันทางการเมืองจำพวกหนึ่ง 

การมีประชากรที่พูดภาษาที่ประเทศเพื่อนบ้านพูดกัน ไมได้หมายความว่าเพื่อนบ้านจะมีสิทธิ์อ้างดินแดนกันง่ายๆ เพราะมีเหตุผลร้อยแปดพันประการที่จะอ้างสิทธิ์เหนือดินแดน (และประชากรในดินแดนนั้น) 

อย่างแรก การอ้างว่าคนพูดเขมรควรจะอยู่ในแผ่นดินเดียวกับประเทศกัมพูชา เป็นวิธีคิดแบบยุคแรกของการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ซึ่งล้าหลังคลั่งชาติเอามากๆ เพราะวิธีคิดแบบนี้มันมีตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 เช่น ตอนที่เยอรมนีรวมชาติและอิตาลีรวมชาติ แต่ปัจจุบันไม่มีใครเขาทำกัน เพราะมันขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ยุคก่อนที่อยู่กันแบบหลากหลายเชื้อชาติรวมกัน

แต่ก่อนนั้น ยุโรปมีรัฐที่พูดเยอรมันและอิตาเลียนเป็นอิสระหลายสิบหลายร้อยรัฐ พอถึงศตวรรษที่ 18 ก็เกิดกระแสการรวมเอารัฐของคนพูดเยอรมันและอิตาเลียนมาเป็น "อาณาจักรเดียวกัน" ของ "คนพูดภาษาเดียวกัน" นี่คือการรัฐชาติแบบโบราณ ซึ่งสมัยนี้เขาไม่ทำกันแล้ว เพราะประเทศหนึ่งๆ ไม่ได้มีแค่คนพูดภาษาเดียว

อีกเรื่องก็คือ การสร้าง "รัฐของคนพูดภาษาเดียวกัน" เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะแม้คนที่พูดเยอรมันและอิตาเลียนเหมือนกัน แต่สำเนียงและสำนวนต่างกัน บางครั้งต่างกันจนเป็นคนภาษาเลยก็ได้แต่ถูกเหมาเป็นอิตาเลียน (เนื่องจากยุโรปมักมีตระกูลภาษาไม่กี่กลุ่ม แต่แตกแขนงเป็นหลายภาษาย่อย) 

ดังนั้น เมื่อสร้างชาติให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น กระบวนการที่ตามมาคือ การทำลายภาษาท้องถิ่นและห้ามประชาชนพูดภาษาเยอรมันและอิตาเลียนที่ไม่ใช่ "ภาษาส่วนกลาง" พูดง่ายๆ ก็คือการสร้างชาติของคนพูดภาษาเดียว ได้ทำลายความหลากหลายของชนชาติจนย่อยยับ ทุกวันนี้มันก็ยังเกิดขึ้นอยู่

เพียงแต่รัฐชาติสมัยใหม่ที่ตาสว่างแล้ว เราจะกลับตัวกลับใจ หันมาสนับสนุนความหลากหลายทางภาษาและเชื้อชาติ ช่วยฟื้นฟูภาษาที่ต่างจากส่วนกลาง หลังจากที่เคยกวาดล้างไป

แต่ดูเหมือนว่าคนกัมพูชาจะยังไล่ตามค่านิยมสมัยนี้ไม่ทัน จึงคิดว่า "ที่ไหนมีคนพูดเขมร ที่นั่นคือดินแดนของเรา" 

ไม่ต้องเอาที่ไหนไกลหรอกครับ เจ้าสีหนุนั้นเลือดเย็นขนาดสั่งฆ่าและทำร้ายคนที่พูดภาษาไทยที่จังหวัดเกาะกง หรือจังหวัดปัจจันต์ครีรีเขตของไทยมาก่อน นี่คือการ "ทำให้เป็นเขมร" อย่างเหี้ยมโหด เพื่อที่จะอ้างได้ว่า "เกาะกงไม่มีคนไทย" 

แต่เมืองไทยไม่อำมหิตแบบนั้น แถมเดี๋ยวนี้ยังสนับสนุนภาษาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนชาติต่างๆ ด้วยความใจกว้าง เพราะรู้ว่าภาษาไม่ใช่ตัวกำหนดความเป็น "พลเมืองประเทศไทย" และสำนึกจงรักภักดีต่อแผ่นดินไทย

อีกเรื่องที่คนเขมรควรรู้คือ ไทยนั้นเคยมีระบอบการปกครองแบบ "จักรวรรดิ" ซึ่งประกอบด้วยรัฐย่อยๆ เชื้อชาติเยอะแยะ และภาษาที่หลากหลายมาก 

เอาเฉพาะแค่ "กัมพูชา" เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสยาม/ไทยมาก่อน โดยเฉพาะดินแดนที่เรียกว่า "เขมรส่วนใน" คือจังหวัดพระตะบอง ศรีโสภณ เสียมราฐ และ "เขมรป่าดง" คือพระวิหาร และเชียงแตง" เมืองพวกนี้คืออยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของไทย ซึ่งได้มาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คนในดินแดนพวกนี้ถือเป็น "พลเมืองสยาม" 

ส่วนบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ เป็นหัวเมืองเก่าแก่ของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แม้ประชากรส่วนหนึ่งจะพูดเขมร แต่ก็ถือเป็น "พลเมืองสยาม" เพราะผู้ปกครองเมืองสมัยโบราณได้มาสวามิภักดิ์ต่ออยุธยา พสกนิกรก็ย่อมเป็นพลเมืองอยุธยา พลเมืองสยาม แลพลเมืองไทยตามกาลเวลา

ส่วน "เขมรส่วนนอก" คือกัมพูชาส่วนใต้ทะเลสาบลงมามีสถานะเป็น "ประเทศราช" แม้จะไม่ใช่ "พลเมืองสยาม" โดยตรง แต่ก็ถือเป็น"พลเมืองชั้นสองของสยาม" และกษัตริย์ต้องได้รับการแต่งตั้งจากกรุงเทพฯ 

ดังนั้น การที่คนเขมรส่วนใน และคนเขมรส่วนนอกแต่งตัวเหมือนคนไทยหรือคนสยาม มีวัฒนธรรมเหมือนกัน พูดไทยคำเขมรคำ ก็เพราะพวกเขาเคยเป็น "พลเมืองสยาม" มาก่อน และรับวิถีการใช้ชีวิตมาจาก "เจ้านาย" ที่กรุงเทพฯ 

แม้ว่าต่อมาไทยจะเสียดินแดนเขมรส่วนนอก เขมรป่าดง และเขมรส่วนในไปจนหมด แต่หากจะไทยจะอ้างดินแดนเหล่านี้กลับคืนมาบ้าง เขมรยุคใหม่จะยอมไหม? แน่นอนว่าคงไม่ยอม ดังนั้นจึงขอถามกลับว่า แล้วมีสิทธิ์อะไรมาเคลมจังหวัดต่างๆ ของไทย เช่น บุรีรัมย์เป็นของตน ทั้งๆ คนกัมพูชาเองนั้นมีบรรพบุรุษเคยเป็น "พลเมืองสยาม" มาก่อน?

พูดง่ายๆ ก็คือ การสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ นอกจากจะอ้างว่าผู้คนพูดภาษาเดียวกันแล้ว ยังมีการสร้างรัฐชาติด้วยการอ้าง "กรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์" ด้วยวิธีแบบหลัง ถ้าไทยทำบ้างกับประเทศกัมพูชาทั้งประเทศ คนเขมรกัมพูชาก็อย่าร้องคร่ำครวญแล้วกัน

ผมจะยกตัวอย่างการใช้กำลังในการยึดดินแดน "คนพูดภาษาเดียวกันเรา" คือกรณีที่ตุรกีส่งกองทัพไป "ช่วยชาวเติร์กในไซปรัส" เมื่อปี 1974 นี่เอง ซึ่งความจริงก็คือการยึดดินแดนไซปรัสส่วนเหนือไปเป็นของตน โดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครองคนเติร์ก 
 
ตุรกีสามารถยึดดินแดนของไซปรัสไปได้ถึง 36% เพราะส่งกองทัพมายึดไว้ แต่ทหารจะยึดไว้ไม่ได้นาน ถ้าคนเติร์กท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือ ที่สำเร็จได้เพราะคนเติร์กถูกปลุกประแส "ชาตินิยมเติร์ก" ให้พวกเขาสำนึกว่าตัวเองเป็นพลเมืองของประเทศตุรกีไม่ใช่ประเทศไซปรัส 

(อนึ่ง แต่ก่อนคนกรีกและคนเติร์กที่ไซปรัสอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว แต่เพราะเจ้าอาณานิคมอังกฤษปั่นหัวให้ทะเลาะกัน เพื่อที่คนสองเชื้อชาติจะได้ไม่เพ่งเล็งผู้รุกรานคืออังกฤษ ผลของการปั่นหัวทำให้คนไซปรัสไม่ไว้ใจกันกระทั่งชาติแตกแยก จะเห็นว่ากลยุทธนี้คล้ายกับที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างคนไทยและคนกัมพูชา)

ดังนั้น จากกรณีของคนตรุกีในไซปรัส สิ่งสำคัญคือ "สำนึกความเป็นพลเมือง" ไม่ใช่ว่าใครพูดภาษาไหน และอยู่ที่ไหน

ในไทยนั้นมีทั้งคนพูดลาว พูดมลายู พูดเขมร พูดกะเหรี่ยง พูดมอญ ฯลฯ นี่คือสิ่งตกทอดตั้งแต่ตอนที่ไทยยังเป็น "จักรวรรดิสยาม" ที่ร่ำรวยด้วยพลเมืองเชื้อชาติต่างๆ ที่มีสิทธิเท่าเทียมกัน 

ไม่ต้องถูกเช่นฆ่าเพราะเพียงแค่เป็นคนเชื้อชาติอื่น เหมือนกัมพูชาเคยทำกับคนไทยเกาะกง

แต่ก่อนนั้น เรายังอนุญาตให้คนจีนอพยพพูดจีนได้ด้วย แต่เพราะคนจีนมักแสดง "ความจงรักภักดีสองแผ่นดิน" คือตัวอยู่ที่ไทย ใจอยู่ที่จีน อีกทั้งหลายคนยังถือสองสัญชาติ รัฐบาลจึงบังคับให้ถือสัญชาติเดียว และบีบให้เลิกพูดจีน เพื่อทำให้เป็นคนไทยชัดๆ หาไม่แล้วจะเป็นภัยต่อความมั่นคง

สาเหตุที่คนจีนทำแบบนั้นก็เพราะจีนเพิ่งจะสร้างชาติสมัยใหม่ จึงทำให้คนจีนอพยพเกิดอาการ "รักแผ่นดินบรรพชน" ด้วยแต่ก็ห่วง "แผ่นดินที่ทำมาหากิน" ทำให้ต้องบีบให้เลือกสักทาง แน่นอน มีคนจีนอพยพออกจากไทยไปจำนวนหนึ่งเช่นกันเพราะนโยบายนี้ 

สถานการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นกับพลเมืองไทยที่พูดภาษามลายูเช่นกัน เพราะปัญหาเรื่องแบ่งแยกดินแดนและความมั่นคง รัฐบาลจึงบีบให้คนมลายูเป็นคนพูดภาษาไทยและทำตัวเป็นคนไทยสมัยใหม่ เรื่องนี้ยังหาทางออกที่แน่นอนไม่ได้

จะเห็นได้ว่า พลเมืองไทยมีความหลากหลาย ไม่ใช่พูดภาษามลายูแล้วจะเป็นคนมาเลเซีย พูดกะเหรี่ยงจะถือเป็นคนรัฐกะยา พูดมอญถือเป็นคนหงสาวดี พูดลาวแล้วเป็นคน สปป.ลาว หรือพูดเขมรแล้วจะเป็นคนกัมพูชา 

กับลิซ่านั้นไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหรอกว่าบรรพบุรษเธอเป็นไทย ลาว ส่วน กูย ขแมร์ลือ (คือเขมรสูงในอีสานใต้) หรืออะไร? เพราะเธอคือพลเมืองไทย และภาคภูมิใจกับความเป็นไทยอย่างเต็มขั้น เหมือนกับที่เธอพูดเองเรื่องโปรโมทความเป็นไทย และนำเสนอความเป็นไทยในผลงานของเธอ

ประเทศไหนมาอ้างว่าลิซ่าเป็นของตัว ถือเป็นเรื่องที่สะท้อนระดับสติปัญญาได้อย่างดีว่าตื้นเขินแค่ไหน และ ขาดความ "ละอายแก่ใจ" เพียงใด

ด้วยตรรกะแบบคนกัมพูชานั้น ไทยก็อ้างได้เหมือนกันว่า "คนกัมพูชาทั้งประเทศคือพลเมืองไทยมาก่อน แต่ฝรั่งเศสแย่งไปจากเรา ดังนั้นเราควรทวงคืนกลับมา"

ถ้าใช้วิธีคิดแบบนี้ อย่าว่าแต่ลิซ่าจะเป็นคนไทยเต็มขั้นเลย แม้แต่ ฮุน เซน ก็จะถือเป็นพลเมืองไทยด้วย จะเอาแบบนี้ไหม? 

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better 

TAGS: #ลิซ่า #กัมพูชา