ฉีกหน้ากาก 'มณฑลไท่กั๋ว' เมื่อประชาชนคิดว่าเมืองไทยถูกขายให้จีน(เทา)แล้ว

ฉีกหน้ากาก 'มณฑลไท่กั๋ว' เมื่อประชาชนคิดว่าเมืองไทยถูกขายให้จีน(เทา)แล้ว

สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ คำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' เป็นคำที่คนไทยคิดกันขึ้นมาเองเพื่อแดกดัน (หรือเบาๆ ก็คือล้อเลียน) ประเทศของตัวเองว่าเป็นเหมือนมณฑลหนึ่งของจีนไทยแล้ว

คำๆ นี้ใช้กันบ่อยและนานระยะหนึ่งแล้ว แต่ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังมีคนอ่านผิด ใช้ผิด และเข้าใจผิด เช่นพิธีกรของรายการทีวีช่องรายหนึ่งมั่วเอาเองว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' เป็นคำที่คนจีนเอาไว้เรียกประเทศไทยในฐานะเป็นแค่มณฑลหนึ่งของจีน

โปรดทราบว่าไม่มีคนจีนคนไหนที่ใช้ไทยคำจีนคำแบบนี้ (มณฑลคือคำไทย และไท่กั๋วคือคำจีน) และควรรู้ไว้ด้วยว่า รัฐบาลจีนเปราะบางในเรื่องรักษาสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น หากชาวเน็ตจีนโจมตีประเทศอื่นแบบล้ำเส้น เช่น อ้างว่าไทยเป็นมณฑลหนึ่งของจีน ยูสเซอร์นั้นจะโดนเล่นงานแน่นอน 

ความเข้าใจผิดของบางคนเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ภาษาจีน คำว่า 'มณฑล' ในภาษาไทยใช้เรียกเขตการปกครองที่ใหญ่ทื่สุดของจีนที่เรียกว่า 'เสิ่ง' (省 หรือบางคนออกเสียงว่า เฌิ่ง) คำๆ นี้แปลเป็นอังกฤษว่า Province แต่ไทยเราไม่แปลตามว่า 'จังหวัด' ทั้งๆ ที่คำเดียวกันนี้ไทยใช้ในความหมายนั้น สาเหตุเพราะ 'เสิ่ง' มีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดมาก แต่ละเสิ่งก็มีเขตปกครองยิบย่อยที่ใหญ่กว่าจังหวัดต่างๆ ของไทยด้วยซ้ำ 

'เสิ่ง' จึงคล้ายกับ 'ภาค' ต่างของไทย และภาคต่างๆ ของไทยนั้นแต่เดิมไม่มี สมัยที่ไทยปกครองในระบบมณฑลเทศาภิบาลนั้นภาคเรียกว่า 'มณฑล' และในแต่มณฑลปรพกอบด้วย 'เมือง' ก็คือจังหวัดในปัจจุบันของไทย

ส่วนคำว่า 'ไท่กั๋ว' (泰国) เป็นคำจีนหมายถึงประเทศไทย ประกอบด้วยคำว่า ไท่ (泰) หมายถึง "ความมั่นคง ความมั่งคั่ง สันติสุข ฯลฯ"  ล้วนแต่มีความหมายที่ดี แต่คำนี้ยังเป็นคำพ้องเสียงที่กำหนดความหมายถึงประเทศไทยด้วย ส่วนคำว่า กั๋ว (国) แปลว่าประเทศ

จบความรู้รอบตัวเรื่องการปกครองระบอบมณฑลและเมืองไทยในภาษาจีนแต่เพียงเท่านั้น 

ดังนั้น หากคนที่อ้างว่าคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' มาจากหัวคิดของคนจีนเอาไว้ดูถูกประเทศไทย โปรดทราบว่า ถ้าเขาจะเรียกไทยว่าเป็นมณฑลหนึ่งของจีน ควรจะเรียกว่า ไท่เสิ่ง (泰省) หรือมณฑลไทย เรียกแบบนี้มันสะใจกว่าอีก

มีแต่คนไทยเท่านั้นที่ชอบเล่นคำจำพวก 'มณฑลไท่กั๋ว' เพื่อเอาไว้ยั่วล้อประเทศตัวเอง

'มณฑลไท่กั๋ว' สะท้อนถึงความไม่พอใจของคนไทยต่อการเข้ามาลงหลักปักฐานทั้งถาวรและชั่วคราวของคนจีนในไทย เช่น แถวๆ เขตห้วยขวางตรงถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ มีย่าน 'ไชน่าทาวน์ใหม่' ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า และที่อยู่ของพวก 'จีนใหม่' อยู่เต็มไปหมด 

'จีนใหม่' พวกนี้ผมหมายถึงพวกที่มาจากแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก พูดผู่ทงฮั่วหรือภาษาจีนกลาง และไม่มีขนบประเพณีอะไรซับซ้อนเพราะโตมาในระบอบสังคมนิยม ไม่เหมือนกับพวก 'จีนเก่า' ที่พูดหมิ่นหนานและเยว่ (ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง แต้จิ๋ว ฯลฯ) และถือธรรมเนียมเคร่งครัดกว่าเพราะอยู่ในสังคมจารีตโบราณ

'จีนเก่า' ก็คือจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยตั้งสองสามร้อยปีก่อน แต่เพิ่งจะถูกกลืนเป็นคนไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่เอง แต่ก่อนนั้นพวก 'จีนเก่า' ก็เจอปัญหาการต่อต้านจากเจ้าถิ่นเดิมเหมือนกับ 'จีนใหม่' นี่แหละ 

ประเทศไทยมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ มักจะมีประชากรไม่พอที่จะขับเคลื่อนประเทศ จึงต้องรับผู้อพยพเข้ามาไม่ขาดสาย ในยุคศักดินา เราใช้วิธีการไปตีบ้านเมืองอื่นแล้วกวาดต้อนผู้คนมาเป็นแรงงานสร้างประเทศ เช่น ใช้แรงงานลาวเวียงเพื่อขุดคลองแสนแสบ

ต่อมาในช่วงต้นยุคทุนนิยม เราต้องเริ่งผลิตข้าวป้อนตลาดโลกจึงต้องการแรงงานมากเพื่อทำการขยายที่น่า นำไปสู่การขุดคลองรังสิต เราก็ใช้แรงงานจีนที่สั่งเข้ามากมายมหาศาลช่วยขุดคลอง และทำการผลิตทางการเกษตรขนาดใหญ่ ในเวลาเดียวกัน พวกจีนรุ่นเดิมที่อยู่ในไทยมานานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำไปแล้ว ก็ถูกราชสำนัก/รัฐบาลใช้งานเป็นผู้เก็บภาษีกุลีจีน ส่วนหนึ่งเป็นไปเจ้าของโรงสี เป็นเจ้าของการคมนคมขนส่งต่างๆ   

ด้วยเหตุนี้ 'จีนเก่า' จึงเต็มประเทศไทยไปหมด ทั้งที่เป็นแรงงานและที่เป็นเถ้าแก่ และมีทั้งนายทุนสีขาวที่รับใช้รัฐบาล และนายทุนสีเทาที่กินกินกับอบายมุขและส่งเงินสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดิน

นี่คือสถานการณ์ยุคของ 'จีนเก่า' ซึ่งประชากรคนจีนในสยามตอนนั้นมีกว่า 2 ล้าน เทียบกับประชากรคนไทย 6 ล้านกว่าคน เรียกได้ว่าพวกจีนมีมากถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว จะเห็นได้ว่า หากคนที่แซะประเทศไทยว่าเป็น 'มณฑลไท่กั๋ว' ไปอยู่ในยุคนั้น คงจะต้องอกแตกตายเป็นแน่ 

สถานการณ์แบบนี้อย่าว่าจะเป็น 'มณฑลไท่กั๋ว' เลย นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น 'มณฑลกวางตุ้งน้อย' ก็ยังได้ เพราะแรงงงานและทุนจีนในสยามมักจะมาจากมณฑลนั้น

แน่นอนว่า รัฐบาลสยาม/ไทย กังวลเหมือนกันว่าไทยจะกลายเป็นจีนสาขาสอง จึงใช้มาตรการต่างๆ เพื่อ 'หลอมรวม' คนจีนเก่าให้กลายเป็นคนไทยเสีย หากคนพวกนี้ไม่ยอมทำตัวให้เป็นคนไทย ก็ใช้กฎหมายบีบให้ออกไปจากประเทศเสีย ปรากฏว่าคนจีนเก่าที่อยากจะอยู่ไทยมีมากกว่า และทำให้ปัจจุบันไทยมีคนเชื้อสายจีนมากที่สุดในโลก และทำให้ไทยรอดจากการเป็น 'มณฑลกวางตุ้งน้อย' มาได้

การหลอมละลายคนจีนให้เป็นไทยประสบความสำเร็จยอดเยี่ยม จนไม่ไทยไม่มีเขตพิเศษสำหรับคนจีนเหมือนประเทศอื่น ที่เรียกกันว่า 'ไชน่าทาวน์' ซึ่งในโลกตะวันตกมันคือเขตกักคนจีนไม่ให้ปะปนกับฝรั่งนั่นเอง แต่ในไทยไม่เคยมี คำว่า 'ไชน่าทาวน์' ที่ใช้เรียกเยาวราชนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ไม่นานมานี้ เพื่อหากินกับการท่องเที่ยว

กลับไปที่ปัญหาของพวก 'จีนใหม่'  ที่ทำให้เกิดคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' 

'มณฑลไท่กั๋ว' ตอนแรกใช้เรียกถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ ในเขตห้วยขวาง ซึ่งตอนแรกๆ ก็เรียกกันน่ารักน่าเอ็นดูว่า 'ไชน่าทาวน์ใหม่' เพราะคนไทยยังไม่ค่อยมีอาการ Sinophobia (เกลียดกลัวจีน) กันมากนัก และหมายความคนไทยยังมีพื้นที่ให้กับการหลอมรวมจีนใหม่อยู่ 

แต่ความรู้สึกของไคนไทยเปลี่ยนไปหลังการเข้ามาของ 'จีนเทา' คือพวก 'จีนใหม่' ที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ธุรกิจฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์ การค้ามนุษย์ เข้ามาฟอกเงินผิดกฎหมาย และเข้ามาซื้อที่ดินและธุรกิจของคนไทยโดยอาศัยนอมินี และข้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เลย 

การเข้ามาของจีนเทาเกิดขึ้นพร้อมๆ กับ 'สงครามเย็นครั้งใหม่' ซึ่งจีนกลายเป็นคู่กรณีของชาติตะวันตก ในสงครามนี้มีการทำสงครามย่อยคือ สงครามทางจิตวิทยาที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูน่ากลัวและไม่น่าพิสมัย หรือการทำ Vilification เช่น จีนถูกกล่าวหาว่าเข้าไปลงทุนกอบโกยทรัพยากรประเทศอื่น (ประเทศตะวันตกไม่ทำหรือ?) จีนถูกกล่าวหาว่าปล่อยเงินกู้ให้ประเทศยากจนเพื่อให้ติดกับดักหนี้ (ประเทศตะวันตกใช้วิธีปล่อยหนี้ดอกสูงให้ประเทศต่างๆ ติดกับดักมาก่อน และปัจจุบันยังเป็นเจ้าหนี้ที่ใหญ่กว่าจีนหลายเท่า) 

ล่าสุด คือการปล่อยข่าวว่าจีนกำลังปล่อยสินค้าเข้ายึดตลาดประเทศอื่น ในไทยก็เริ่มเกิดความรู้สึกที่ว่านี้มากขึ้น จนกระทั่งอาการ Sinophobia คือการเกลียดจีนเริ่มที่จะฝังจิต จนไม่แยกว่านี่เป็นจีนเทา หรือว่านั่นเป็นทุนจีนที่ควรต้อนรับ 

ดังนั้น ในแง่หนึ่งคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' จึงสามารถโยงเข้ากับกระแสต่อต้านจีนได้ด้วย เช่นเดียวกับคำว่า Londonistan (ลอนดอนกลายเป็นเมืองแขก) และ  Eurabia (ยุโรปกลายเป็นของพวกอาหรับ) เป็นคำล้อว่าดินแดนของฝรั่งกำลังถูกพวกมุสลิมครองผ่านการอพยพ คำพวกนี้เป็นการ Vilification ผู้อพยพจากประเทศมุสลิม และเป็นการทำให้เกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ซึ่งถูกนำไปปั่นเป็นประเด็นการเมืองโดยฝ่ายการเมืองในยุโรป เช่นเดียวกัน ผมก็สงสัยว่า การทำให้เกลัวคนจีนส่วนหนึ่งก็มาจากการปั่นของ 'ฝ่ายการเมือง' เช่นกัน

ปัญหานี้ผมจะพูดต่อไปในอนาคต แต่วันนี้เราจะพูดถึงตัวการที่ทำให้เกิดคำว่า  'มณฑลไท่กั๋ว' กันก่อน 

แม้ว่าผมจะเอ่ยถึงพวกจีนเทาว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่า "ประเทศของเราถูกขายให้จีน (เทา) ไปแล้ว" แต่ตัวการจริงๆ คือพวกผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเมืองนี้ต่างหาก 

'ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่' มีทั้งพวกใส่สูทและพวกใส่เครื่องแบบ พวกนี้นี่แหละที่คอยเอื้อให้พวกจีนเทาหาประโยชน์จากไทย เช่น ให้สัญชาติไทยกันง่ายๆ (กรณีตู้หาวและพวก) ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่คอยอุ้มมันจะได้สัญชาติไทยกันหรือ? หรือกรณีที่เจ้าหน้าที่พบสายสัญญาณโทรคมนาคมที่ชายไทย-เมียนมา และชายแดนไทย-กัมพูชา ไปจนถึงสายไฟฟ้า เสาสัญญาณที่หันออกนอกประเทศ ฯลฯ ของพวกนี้เป็นเครื่องมือช่วยหากินให้กับพวกจีนเทาที่อยู่ตามชายแดนไทยทั้งนั้น พอพวกนี้ถูกจีนไล่บี้ทั้งเมียนมาและในกัมพูชาและลาว ก็หนีเข้ามาอยู่ในไทย บางคนไทยจับตัวได้แลวก็ยังกั๊กไว้ไม่ส่งให้รัฐบาลจีน

การที่ 'ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่' ในไทยประเคนให้พวกจีนเทาแบบนี้ ทั้งๆ ที่พวกนี้หากินบนความทุกข์ของคนไทยและย่ำยีศักดิ์ศรีคนไทย ควรหรือไม่ที่เรียกคนพวกนี้ว่า 'คนขายชาติ'?

บางกรณีแม้ว่าท่านจะบอกว่าไม่ผิด เช่น การขึ้นป้ายใหญ่โตที่ห้วยขวางประกาศขายสัญชาติเป็นภาษาจีน จนประชาชนทนภาพบาดตาไม่ไหว แม้จะไม่ผิดกฎหมายแต่มันเป้นเรื่องสีเทา และท่านไม่คิดในแง่การถนอมน้ำใจคนไทยด้วยกันเลยหรือ? ถึงปล่อยให้คนจีนเทาๆ ทำอะไรเทาๆ แบบนี้ใน้บ้านของเราได้ 

และคนพวกนี้นี่แหละที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่าบ้านเมืองของเราถูกขายให้กับพวกจีน (เทา) ไปแล้ว ที่ดินก็มีพวกคนไทยใจศัตรูเป็นนอมินีขายให้ต่างชาติ สัญชาติไทยก็ซื้อหากันง่ายๆ โดยพวกข้ารัฐการที่ใจเป็นทาสคนนอกรัฐ 

ในขณะเดียวกัน จีนขาวๆ ที่อยากจะมาลงทุนในไทยก็พลอยถูกรังเกียจไปด้วย เมื่อกระแส Sinophobia มันแรงขึ้นมา ทุนจีนที่ถูกกฎหมายและเป็นคุณต่อประเทศไทยก็จะถอนตัวไป เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีน ที่ไทยเรากำลังต้องการแรงผลักดันส่วนนี้อย่างมาก เพราะเศรษฐกิจไทยนั้น "ฉิบหายเสียแล้ว" 

ดังนั้น ถ้ากระแส Sinophobia มันไม่แยกแยะขึ้นมา (ปกติความกลัวแบบนี้มักจะไม่ค่อยแยกแยะอยู่แล้ว) มันจะกระทบประเทศในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่น การพยายามดึงทุนจีนเข้ามาหนุนเศรษฐกิจเริ่มถูกมองว่าเป็นการขายชาติ

ความรู้สึกของคนไทยต่อประเทศตัวเองตอนนี้จึงอารมณ์แบบ 'มณฑลไท่กั๋ว' คือประเทศไทยกำลังถูกขายเป็นมณฑลหนึ่งให้กับพวกจีน (เทา) และใครล่ะที่ขายให้พวกนั้น ก็คือคนไทยด้วยกันเองทั้งสิ้น

บอกตามตรงว่า ผมไม่ชอบคำว่า 'มณฑลไท่กั๋ว'  สักเท่าไร มันให้ความรู้สึกเหมือนด้อยค่าประเทศตัวเอง 

แต่ถ้ามองให้ลึกๆ เราจะพบว่าคำๆ นี้สะท้อนความไม่พอใจของคนไทยต่อผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่นอกจากจะไม่กำหนดอนาคตประเทศชาติแล้ว ยังขายอนาคตชาติให้กับพวกนอกรัฐเสียอีก 

ย้ำอีกครั้งว่า 'มณฑลไท่กั๋ว' จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีคนไทยขายชาติคอยช่วยให้มันเกิดขึ้นมา 

เหมือนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งแรก ก็เพราะพระยาจักรีทรยศบ้านเมืองคอยเปิดประตูให้ศัตรูเข้ามาชิงกรุงนั่นเอง

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการ The Better

Photo - คนขับรถตุ๊กตุ๊กดูขณะที่ผู้หญิงถ่ายรูปที่ล้ง 1919 คฤหาสน์จีนสมัยศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับการบูรณะใหม่ ในวันแรกของเทศกาลตรุษจีนที่กรุงเทพฯ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 Photo by AFP / Lillian SUWANRUMPHA

TAGS: #'มณฑลไท่กั๋ว #จีนเทา