เศรษฐกิจจีนซบเซาแค่ไหน สิ่งบ่งชี้อย่างหนึ่งคืออัตราว่างานของคนหนุ่มสาว ซึ่งรุนแรงถึงขนาดที่หน่วยงานของรัฐบาลจีนยังเคยหยุดเผยแพร่ข้อมูลการว่างงานของคนหนุ่มสาวกันมาแล้ว
จากข้อมูลของสื่อภาษาจีนในสิงคโปร์ คือ 'เหลียนเหอเจ่าเป้า' 《联合早报》 ชี้ให้เห็นว่าในเดือนมิถุนายนของปีที่แล้ว หลังจากอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวในช่วงอายุ 16 ถึง 24 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 21.3% อย่างไรก็ตาม น่าจะด้วยอัตราที่สูงมาก ทำให้สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนจึงหยุดเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว หลังจากนั้นสำนักงานจึงไม่รวมคนหนุ่มสาวที่เป็นนักศึกษาไว้ในข้อมูลอัตราการว่างงาน และแบ่งกลุ่มอายุ 25 ถึง 59 ปีออกเป็น 2 กลุ่ม และประกาศข้อมูลอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวอีกครั้งในเดือนมกราคมของปีนี้
'เหลียนเหอเจ่าเป้า' รายงานว่าจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 11.87 ล้านคนในปีนี้ ทำลายสถิติเดิมอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ข้อมูลทางการด้านการว่างงานของเยาวชนยังคงอยู่ในระดับสูง ในเดือนมิถุนายนปีนี้ อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่ไม่ได้เรียนหนังสือ อายุระหว่าง 16 ถึง 24 ปี อยู่ที่ 13.2% และอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาว อายุระหว่าง 25 ถึง 29 ปี สูงถึง 14.9%
อัตราว่างงานของคนหนุ่มสาว รวมถึงการถดถอยและการกดดันต่อภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงในจีน ทำให้คนหนุ่มสาวระดับมันสมองในอุตสาหกรรมเทคต้องตกงาน และทำให้พวกเขาต้องกลายสภาพจากพนักงานออฟฟิศหรือพวก White Collar มาเป็นคนงานที่ทำงานใช้แรงกายเป็นหลักหรือพวก Blue collar
จากการสำรวจโดย 'จื้อเหลียน เจาพิ่น' (智联招聘) เว็บไซต์จัดหางานในจีน ในเดือนมิถุนายน พบว่าความต้องการงานแรงงานกลุ่ม Blue collar เช่น พนักงานส่งของ คนขับรถบรรทุก พนักงานเสิร์ฟ และช่างเทคนิค ในไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งสูงขึ้น 3.8 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และจากการสำรวจโดยเจาพิ่นก็ยังพบว่าจำนวนคนอายุต่ำกว่า 25 ปีที่สมัครงานในกลุ่ม Blue collar ในไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งสูงขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019
นอกจากนี้ จาก “รายงานเงินเดือนการรับสมัครงานของบริษัทจีน” แสดงให้เห็นว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ ผู้ที่สัมภาษณ์ในสถานที่ทำงานจำนวน 51.9% เต็มใจที่จะเลือกงานใช้แรงงานในกลุ่ม Blue collar
นั่นหมายความว่า คนหนุ่มสาวเริ่มจะไม่เลือกงานกันแล้ว หลายคนมีดีกรีการศึกษาระดับสูงก็ยังหันมาทำงานใช้แรงเป็นหนักแทนที่จะเลือกงานในกลุ่ม White Collar
ตัวอย่างเช่น จากรายงานการจ้างงานไรเดอร์ (พนักงานขับรถส่งอาหารและของบริโภค) ที่บริษัท Meituan (เหม่ยถวน 美团 แพลทฟอร์มซื้อขายสินค้าบริโภคในจีน) เผยแพร่ในปี 2020 พบว่าในจำนวนไรเดอร์ทั้งหมด 2.952 ล้านคน ไรเดอร์ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าคิดเป็นกว่า 24.7% โดยมีวุฒิการศึกษาในระดับวิทยาลัย 528,000 คน มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี 144,000 คน และมีวุฒิการศึกษาปริญญาโท 57,000 คนขึ้นไป
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวเปลี่ยนจากงาน White Collar มาเป็นงาน Blue collar ก็เพราะแรงกดดันในการทำงานออฟฟิศนั้นสูงมาก เช่น การต้องทำงานในวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 (996工作制 โดยย่อคือการทำงานตั้งแต่ 9 นาฬิกาตอนเช้า ถึง 9 นาฬิกาค่ำ เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ในทางปฏิบัติเป็นการทำงานที่นานกว่านั้น) ที่เรียกร้องให้สร้างผลงานระดับสูงและยังต้องแข่งขันกันเองในองค์กร ทำให้หลายคนทนไม่ไหวกับบรรยากาศการทำงานดังกล่าว จึงเลือกที่จะหันมาทำงทานที่ใช้แรงกาย แต่ไม่ต้องแข่งขันกับคนอื่นแบบเอาเป็นเอาตาย
นอกจากนี้ งาน White Collar ยังถูกมองว่าไท่มีความมั่นคงอีกต่อไป เพราะแม้แต่อุตสาสหกรรมเทคที่เคยรุ่งเรืองและเคยคิดกันว่ามีความมั่นคงก็ยังมีการเลย์ออฟกันอย่างหนักและไม่หยุดหย่อน ปรากฏการณ์นี้ยังเกิดขึ้นกับบริษัทเทคใหญ่ๆ ระดับโลกด้วย เพียงแต่เงื่อนไขของบริษัทในระดับสากลต่างจากจีนตรงที่ว่า รัฐบาลจีนใช้มาตรการควบคุมบริษัทเทคหนักขึ้น ทำให้การทำธุรกิจยากขึ้น นำไปสู่การแช่งขันขันที่รุนแรงขึ้น และเกิดการปลดพนักงานมากขึ้นตามไปด้วย
จากการรายงานของ 'เหลียนเหอเจ่าเป้า' สื่อภาษาจีนของสิงคโปร์พบว่าในโซเชียลมีเดียของจีน คือ โต้วป้าน (豆瓣 หรือ Douban) มีกลุ่มที่ชื่อ "พันธมิตรสำรวจกิจกรรมที่ใช้แรงงานเบา" (轻体力活探索联盟) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปีที่ผ่านมา และปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 88,000 ราย
ชื่อกลุ่มนี้คือ "กิจกรรมที่ใช้แรงงานเบา" (轻体力活) หมายถึงงาน Blue collar ที่ถึงแม้จะใช้แรงงานแต่ก็ใช้ไม่มากนัก เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษา แต่ไม่อยากจะทำงานในออฟฟิศที่เต็มไปด้วยความกดดันอีกต่อไป และที่สำคัญก็คือ สำหรับคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาดี มันเริ่มหางานยากขึ้นทุกวัน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะทำงานที่ต้องใช้แรงงาน
'เหลียนเหอเจ่าเป้า' สัมภาษณ์ เหวยจื้อจง แห่งศูนย์ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาอีเหว่ยตู้ ในเมืองกว่างโจว ซึ่งกล่าวว่า ในแนวคิดดั้งเดิมของจีน การทำงานใช้แรงดูเหมือนจะเป็นงานด้อยกว่า แต่เขามองว่าการที่คนหนุ่มสาวหันมาทำงานใช้แรงถือเป็นการ "ก้าวข้ามขีดจำกัดของนิยามความสำเร็จดั้งเดิมของสังคม นี่ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง"
สำนักข่าว 'เผิงไพ่ ซินเหวิน' (澎湃新闻) มีบทความที่ตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า "คุณสามารถถ่อมตัวมากพอที่จะทำงานใช้แรงเบาได้หรือไม่?" คำว่าถ่อมตัวในที่นี้ยังอาจหมายถึงการ 'ลดตัว' และมีนัยหมายถึง 'การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์'
นั่นก็เพราะพวกเขาชี้ว่า "เมื่อประกาศนียบัตรถูกลดคุณค่าลงและการแข่งขันภายในมีความรุนแรง คนหนุ่มสาวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่พอใจกับชีวิต White Collar ที่หรูหรา พวกเขาจึงถอดชุดคลุมยาวของบัณฑิตหลงยุคออกไป และเริ่มลองงานที่ใช้แรงเบาๆ"
นี่คือวิถีใหม่ของคนยุคใหม่ในสังคมจีน
รายงานโดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2022 แสดงให้เห็นผู้หญิงจีนคนหนึ่งกำลังใช้โทรศัพท์ของเธอในงานจัดหาอาชีพในกรุงปักกิ่ง เศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวทำให้คนหนุ่มสาวหลายล้านคนต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงงานที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ และเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ (ภาพโดย Jade Gao / AFP)