ในขณะที่เรากังวลกับ "การรุกรานของทุนจีน" จนกระทั่งมีบางคนกระแนะกระแหนว่า "อเมริกายึดประเทศกี่โมง?"
"อเมริกายึดประเทศกี่โมง?" สะท้อนถึงการปั่นกระแสเรื่องสหรัฐฯ คิดจะตั้งฐานทัพในไทย ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งปลุกกระแสต่อต้าน
แต่ผมเคยเขียนตอบโต้ไปว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ทำให้เรื่องนี้เงียบไป แต่คนไทยอีกจำนวนหนึ่งก็ยังไม่ลืม
พอ "ศัตรู" ของสหรัฐฯ คือจีน กลายเป็นฝ่ายถูกกล่าวหาบ้างว่ากำลังรุกเข้าไทยในแง่ด้านต่างๆ ก็เกิดวาทะกรรมการแซะขึ้นมาว่า "อเมริกายึดประเทศกี่โมง?"
แต่วาทกรรมนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Confessions of an Economic Hit Man หรือ "คำสารภาพของมือสังหารทางเศรษฐกิจ" เขียนโดย จอห์น เพอร์กินส์ (John Perkins) ซึ่งเคยทำงานเป็น EHM
EHM หมายถึงคนที่ทำงานให้องค์กรเอกชนที่เป็นหนึ่งในเครือข่ายของหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ EHM หรือย่อมาจาก Economic Hit Man (มือสังหารทางเศรษฐกิจ) จะทำหน้าที่เดินทางไปยังประเทศเป้าหมาย จากนั้นจะโปรโมทแผนการอันสวยหรูในการพัฒนาประเทศให้กับผู้นำของประเทศนั้น แม้จะปั่นสถิติ หรือตัวเลขลอยๆ ก็ทำได้ เพื่อทำให้เป้าหมายหลงเชื่อว่า "ถ้าพัฒนาแล้วจะรุ่งเรือง"
เช่น บริษัทที่จอห์น เพอร์กินส์ ทำงานเป็น EHM ให้เป็นบริษัทด้านวิศวกรรมชื่อ MAIN เขาจะเดินทางในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาไปยังประเทศต่างๆ เช่นประเทศ A เพื่อโน้มน้าวให้ผู้นำประเทศ "พัฒนา" เช่น สร้างเขื่อน ถนนใหญ่ๆ หรือสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งมันฟังแล้วก็เข้าท่า เพราะคนทั่วไปย่อมคิดว่า "การพัฒนา" เท่ากับ "ความเจริญรุ่งเรือง"
แต่การพัฒนาไม่ได้มาฟรีๆ ประเทศ A จะต้องกู้เงินมา แล้วกู้จากไหน? ก็กู้จากสถานบันการเงินที่โยงกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งแม้ชื่อมันจะเป็นองค์กรของโลก แต่ควรทราบว่าประธานของธนาคารโลก "ทุกคนเป็นอเมริกัน"
พอประเทศ A กู้เงินมหาศาลแล้วก็จะดำเนินการพัฒนา เพราะเชื่อตามแผนที่ปั่นขึ้นมาโดย EHM เช่นโม้ว่าภายในเวลา 25 ปี ประเทศนี้จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 17–20% แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นง่ายๆ
ผลก็คือพอกู้มาสักพัก ประเทศ A ก็ยังพัฒนาจนคืนทุนไม่ได้ แถมยังถูกสหรัฐฯ เล่นกลทางเศรษฐกิจ เช่น ให้ธนาคารโลกเร่งรัดการชำระหนี้ เพื่อชำระไม่ทันก็จะถูกบีบ (หรือเรียกแบบละมุนละม่อมว่า "ให้คำแนะนำ") ให้ตัดงบประมาณด้านสวัสดิการ เช่นงบด้านสาธารณสุขหรืองบด้านการศึกษา ดังนั้น แทนที่ประเทศจะพัฒนา กลับด้อยพัฒนาลงไปอีก แถมทรัพยากรมนุษย์ยังคุณภาพตกต่ำลงไป
บางกรณี สหรัฐฯ จะใช้มายากลทางการเงิน เช่น ให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยขึ้นมา พร้อมกับทำให้สินค้าตลาดโภคภัณฑ์มีราคาตกลง ผลคืออะไร? เมื่อดอกเบี้ยขึ้นมา เงินกู้จะยิ่งเกิดดอกทบต้นหนักขึ้น ทำให้จ่ายคืนไม่ได้เลย และประเทศกำลังพัฒนาพวกนี้มักมีรายได้จากการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ เมื่อตลาดโภคภัณฑ์ซบเซาก็จะยิ่งไม่มีเงินมาจ่ายดอก
ผลก็คือประเทศนี้อยู่ในภาวะเกือบจะล่มจม ถึงตอนนี้สหรัฐฯ ก็จะบีบให้ประเทศนั้นเปิดเสรีวิสาหกิจที่สำคัญของชาติ เช่น การไฟฟ้า น้ำประปา และสิ่งจำเป็นในชีวิต วิสาหกิจพวกนี้รัฐเคยควบคุมเพื่อสวัสดิการชีวิตที่ดีของประชาชน แต่เมื่อมันถูกแปรรูปเป็นของเอกชน ทุนสหรัฐฯ ก็จะเข้าไปกว้านซื้อ จากนั้นก็จะขึ้นราคาตามใจชอบ และควบคุมยุทธศาสตร์ของชาติไปในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ สหรัฐฯ โดยผ่านการนำร่องของ EHM ก็จะสามารถยึดประเทศ A ไปเกือบหมดแล้ว
อิสรภาพของประเทศจะหมดไปเมื่อหนี้ยิ่งสุมหัวหนักเข้าไปอีกเพราะกลเม็ดของสหรัฐฯ จากนั้น สหรัฐฯ ก็จะต่อรองด้วยการควบคุมการลงคะแนนเสียงของสหประชาชาติของประเทศนั้น (นั่นคือกดดันให้โหวตตามสหรัฐฯ ตลอดไป) จากนั้นก็ "ขอ" จัดตั้งฐานทัพทหาร และยังเข้ามา "ขอ" ทำสัมปทานทรัพยากร นั่นคือสินค้าโภคภัณฑ์ของประเทศ
ถึงตอนนี้สหรัฐฯ ยึดประเทศนี้เรียบร้อยแล้วในทางปฏิบัติ แม้ว่าในทางการเมืองจะยังมีการเลือกตั้ง การแต่งตั้งผู้นำของตัวเอง แต่การตัดสินใจในท้ายที่สุดต้องฟังเสียงของ "เจ้าของประเทศตัวจริง" เพราะคุมปัจจัยการบริหารประเทศเอาไว้ในมือหมดแล้ว
นี่เองคือกระบวนการสร้าง "กับดักหนี้" (Debt trap) โดยการล่อให้ฝันเฟื่อง จากนั้นกู้เงินมาสร้าง จากนั้นก็ตกหลุมพราง เพราะใช้หนี้ไม่หมด ต้องเสียเอกราชให้ประเทศเจ้าหนี้ไป
นี่คือวิธีการล่าอาณานิคมแบบเนียนๆ นั่นเอง เราจึงไม่ควรบอกว่า "ลัทธิล่าอาณานิคมจบสิ้นไปแล้ว" เปล่าหรอกครับ มันยังอยู่ แต่อำพรางตัวในรูปแบบอื่นที่แนบเนียนกว่าเก่า
อินโดนีเซียเคยเป็นหนึ่งในลูกค้าของ EHM ในยุคของเผด็จการซูฮาร์โต ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ แม้ว่าวันนี้อินโดฯ จะเป็นอิสระแล้วจากกรงเล็บพญาอินทรี แต่ปัจจุบันอินโดนีเซียก็ยังต้องกำลังชำระคืนเงินกู้ที่เทียบเท่ากับมากกว่า 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
แล้วถ้ามีประเทศไหนขัดขืนล่ะ?
ถึงตอนนี้จะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตรง โดยจะส่งกลุ่มคนที่เรียกว่า Jackal (หมาป่า) ไปดำเนินการลอบสังหารผู้นำประเทศที่ขัดขืนแผนการยึดชาติ เช่น กรณีการเสียชีวิตของประธานาธิบดีปานามา และประธานาธิบดีเอกวาดอร์ พวก Jackal จะเข้าไปทำงานเปื้อนเลือดแบบนี้ เพื่อกำจัดก้างขวางคอไปซะ
หากถูกจับได้ ก็จะจ่ายเงินสินบนก้อนใหญ่ให้กับนักการเมืองหรือรัฐบาลใหม่ที่เป็นพันธมิตรกับแผนการของสหรัฐฯ ในขณะที่สาธารณชนก็จะไม่มีทางรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะแม้แต่สื่อก็ไม่รายงาน
ดังนั้น เพื่อป้องกันความผิดพลาด จึงต้องมีการซื้อตัวนักการเมือง "ฝ่ายตรงข้าม" เอาไว้ด้วย และใช้คนเหล่านี้ทำลายรัฐบาลที่คิดจะแปรพักตร์
นี่คือ "คำสารภาพของมือสังหารทางเศรษฐกิจ" ของ จอห์น เพอร์กินส์ ซึ่งเขาเป็นแค่ "มือสังหารทางเศรษฐกิจ" นั่นคือ EHM ด้วยการลวงให้เป้าหมายหลงเชื่อจนกระทั่งเสียชาติ เขายังไม่ถึงขั้นเป็นมือสังหารเอาชีวิต หรือ Jackal
หนังสือเล่มนี้สร้างความฮือฮาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นคนก็ลืมเลือนกันไป อาจเป็นเพราะชินชากับการยึดประเทศแบบเนียนๆ ของสหรัฐฯ
แต่ผมมานึกถึงหนังสือเล่มนี้ได้อีกครั้ง หลังจากได้ยินวาทกรรม "อเมริกายึดประเทศกี่โมง?"
และโดยบังเอิญที่ในเวลาเดีวกัน เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในบังกลาเทศ จนกระทั่งนายกรับมนตรี คือ ชีค ฮาซินา ต้องเผ่นออกจากประเทศ
แต่พอออกมาได้แล้ว ฮาซินา ก็แฉว่า คนที่วางแผนไล่เธอออกจากอำนาจ คือสหรัฐฯ เพราะเธอไม่ยอมให้สหรัฐฯ มาตั้งฐานทัพบนเกาะเซนต์มาร์ติน ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ในอ่าวเบงกอลอยู่ไม่ไกลจากเมืองเจาะพยู ซึ่งจีนใช้เป็นท่าเรือและจุดส่งน้ำมันไปยังจีน และว่ากันว่า "อาจใช้รองรับกองทัพเรือจีน"
กรณีนี้เข้าข่าย "มือสังหารทางเศรษฐกิจ" เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มี EHM แต่สหรัฐฯ ใช้ Jackal ในการดำเนินการ แม้จะไม่ฆ่าผู้นำคนนี้แต่เคยนไปเสนอกับ ฮาซินา ว่าถ้ายอมให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในบังกลาเทศ เธอว่าจะได้รับการเลือกตั้งซ้ำโดยไม่มีปัญหา
แต่ปรากฏว่าเธอไม่ยอม ปัญหาก็เกิดเลยขึ้นกับเธอ จนกระทั่งตอนนี้ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพระาหนีไปอินเดียได้ทัน ซึ่งในเวลานี้อินเดียไม่พอใจสหรัฐฯ อย่างมากที่ไปยุ่มย่ามกับบังกลาเทศอันเป็นเขตอิทธิพลของอินเดีย
เรื่องนี้สามารถติดตามรายละเอียดได้ในรายงานเรื่อง "สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังยึดอำนาจ หวังตั้งฐานทัพในบังกลาเทศ แต่ผู้นำไม่ยอมจึงถูกเชือด" ของ The Better
แล้วจะรู้ว่า "อเมริกายึดประเทศกี่โมง?"
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าว The Better
Photo by Rebecca DROKE / AFP