จากการรายงานของ 'ธุรกิจศตวรรษที่ 21' (21st Century Business Herald หรือ 21世纪网) สื่อด้านเศรษฐกิจของจีน รายงานว่าเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม BYD Co., Ltd. เผยแพร่รายงานช่วงครึ่งปีประจำปี 2024 ระบุว่าบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 301,100 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15.76% เมื่อเทียบเป็นรายปี กำไรสุทธิอยู่ที่ 13,630 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบเป็นรายปี กำไรพื้นฐานต่อหุ้นอยู่ที่ 4.68 หยวน เมื่อเทียบกับ 3.77 หยวนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้ กำไรสุทธิของ BYD ในไตรมาสที่สองอยู่ที่ 9,062 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 32.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้
คิดเป็นตัวเลขผลกำไรต่อวันแล้ว BYD สามารถทำกำไรต่อวันได้ถึง 70 ล้านหยวน หรือประมาณ 336 ล้านบาท
ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ยอดขายสะสมของ BYD อยู่ที่ 1.613 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28.46% จากปีก่อน โดยเป็นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) 726,200 คัน เพิ่มขึ้น 17.73% จากปีก่อน ส่วนรถไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มียอดขาย 881,000 คัน เพิ่มขึ้น 39.54% จากปีก่อน
BYD มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 20.01% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจรถยนต์พลังงานใหม่ คือพลังงานไฟฟ้า เมื่อเทียบกับ 18.33% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
สื่อจีน 'ธุรกิจศตวรรษที่ 21' ชี้ว่า "พลังอำนาจในการกำหนดราคาถือเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของแบรนด์และมักจะอยู่ในมือของผู้ทำกำไรรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ต้นปีนี้ BYD ได้เปิดตัวกลยุทธ์ "ไฟฟ้าถูกกว่าน้ำมัน" และรุ่นหลักทั้งหมดของบริษัทได้เปิดตัวเป็นรุ่น Honor ที่ราคาถูกกว่า โดยเริ่มต้นสงครามแย่งชิงอำนาจด้านการสื่อสารและอำนาจด้านราคาด้วยการเพิ่มการกำหนดค่าและลดราคา โดยการลดราคาครั้งใหญ่ที่สุดเกิน 30,000 หยวน"
ดังนั้น BYD จึงประสบความสำเร็จจากการทำสงครามราคามากที่สุดรายหนึ่ง ในขณะที่รายอื่นๆ หากไม่หยุดการตัดราคาร ก็ต้องทนตัดราคาสู้กันไปเรื่อยๆ แม้จะต้องขาดทุนก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาตลาดเอาไว้ แม้จะมีผลร้ายแรงกับผู้อ่อนแอกว่าขนาดนี้ สงครามราคาก็ยังไม่จบลงง่ายๆ
ประธานบริษัท BYD หวางเฉวียนฝู (王传福) เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า 3 ปีข้างหน้าจะเป็นการต่อสู้ที่เด็ดขาดในเรื่องขนาด ต้นทุน และเทคโนโลยี และจากการรายงานของสื่อจีน 'ธุรกิจศตวรรษที่ 21' ระบุว่า "การจะเอาชนะศึกสำคัญครั้งนี้ได้นั้น จำเป็นต้องรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเอาไว้ก่อน ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของ BYD มีมูลค่าถึง 20,177 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 41.64% จากปีก่อน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่ากำไรสุทธิ 13,631 ล้านหยวนในช่วงเวลาเดียวกันอย่างมาก การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่สูงต้องได้รับการสนับสนุนจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น"
ดังนั้น เฟสต่อไปของสงครามราคาก็คือการทุ่มทุนในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สงครามครั้งนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ แต่มันจะวิวัฒนาการไปสู่การที่ค่ายรถยนต์ต่างๆ ใช้เงินเพื่อกระตุ้นยอดขายผ่านการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ โดย หยางตงเซิง (杨冬生) รองประธานอาวุโสของ BYD Group และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ เปิดเผยในบทสัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากประธาน หวางเฉวียนฝู บ่อยครั้งในตอนกลางดึก หัวข้อการสนทนาของพวกเขามีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ ก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันเกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานมากกว่า แต่ตอนนี้ หยางตงเฉิง บอกว่า “ตอนนี้ BYD ให้ความสำคัญกับปัญญาประดิษฐ์มากที่สุด”
ทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by Jade Gao / AFP