เมื่อเร็วๆ นี้ 'สุจิตต์ วงษ์เทศ' ผู้อาวุโสในวงการศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เสนอให้ "ยกเลิกเชื้อชาติไทย" เพราะ "เพราะความเป็นไทยมาภายหลังความเป็นคน"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณสุจิตต์เสนออะไรแบบนี้ ที่ผ่านมาพยายามรื้อ "ความเป็นไทย" ให้สิ้นไป เพราะคุณสุจิตต์เห็นว่าความเป็นไทยไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาจากความเป็นแขก ความเจ๊ก ความเป็นลาว ความเป็นเขมร
แต่คนมักจะถามกลับว่า ถ้าความเป็นไทยไม่มีอยู่จริง แล้วความเป็นเขมร ลาว เจ๊ก มอญ มันมีอยู่จริงงั้นหรือ? ทำไมมีแต่ไทยที่ไม่มีอยู่จริง?
มีปัญหาอะไรกับความเป็นไทยกันนักหรือ?
ถ้าเป็นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน แนวคิดของคุณสุจิตต์จะได้รับเสียงปรบมือลือลั่น เพราะยุคนั้นเป็น "ยุค Woke ทางประวัติศาสตร์ไทย" นั่นคือแข่งกันที่จะ "ตาสว่าง" (Woke หรือ ตื่นรู้) ด้วยการตีความประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เน้นการรื้อโครงสร้าง (Deconstruct) ความเป็นชาติ เพราะพวก Woke ทางประวัติศาสตร์คิดว่า "ชาติไม่มีอยู่จริง" แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางการเมือง
ก็แน่ล่ะครับ ชาติ หรือ Nation state มันเป็นของเพิ่งสร้างเมื่อสองร้อยกว่าปีนี่เอง เพราะมันสร้างขึ้นมาเพราะ "ความจำเป็นทางการเมือง" นั่นการรวมตัวกันเพื่อเป็นประเทศที่มีเอกภาพด้านเชื้อชาติ ภาษา และเป้าหมายในการดำรงอยู่
เช่น ประเทศเยอรมนี แต่ก่อนมันไม่มีประเทศเยอรมนีหรอกครับ มีแต่แคว้นใหญ่น้อยของคนพูดภาษาเยอรมัน ที่อยู่ภายใต้การปกครองจักรวรรดิอื่น (เช่น ออสเตรีย) หรือประเทศอื่น (เช่น ฝรั่งเศส)
ต่อมาเมื่อจักรพวรรดิต่างๆ อ่อนแอลงไป คนเยอรมันคิดจะรวมตัวกันเป็น "ชาติ" (ซึ่งแปลว่าเผ่าพันธุ์) ของคนพูดภาษาเดียวกัน พวกรัฐของคนพูดเยอรมันจึงมารวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐหลวมๆ จากนั้นก็รวมกันแข็งแกร่งขึ้นเป็นจักรวรรดิใหญ่โต สิ่งที่รวมคนเหล่านี้ได้คือ "ภาษาเยอรมัน"
แต่คนเยอรมันพวกนี้พูดภาษาคนละแบบ เมื่อสร้างชาติขึ้นมาจึงต้องกำหนดภาษาเยอรมันมาตรฐานขึ้นมา แม้ว่าจะต้องทำลายภาษาเยอรมันท้องถิ่นก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะไม่มี "ความเป็นชาติ" คือความเป็นพวกเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าไม่สร้างเอกภาพด้วยการบังคับให้พูดภาษาแบบเดียวกัน และสร้าง "สัญชาติเยอรมัน" ชาติก็จะพังพินาศ แตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย แล้วคนเยอรมันก็จะตกเป็น "ขี้ข้า" ของประเทศอื่นตลอดไป
ในเวลาไล่เลี่ยกัน คนอิตาเลียนแยกกันอยู่เป็นแคว้นต่างๆ มากมาย บางครั้งเป็นอิสระ (พวกสาธารณรัฐต่างๆ) บางครั้งเป็นแคว้นเจ้า (ขึ้นกับจักรวรรดิออสเตรีย) บางครั้งเป็นดินแดนของอาณาจักรอื่น (เช่นของ สเปน) ทำให้คนอิตาเลียนมีแต่ชื่อ แต่ไม่มีแผ่นดินของคนอิตาเลียนแท้ๆ จึงปราศจากความเป็นไทโดยสิ้นเชิง
เพราะความแตกแยก คนอิตาเลียนในแคว้นพวกนี้พูดภาษาอิตาเลียนเหมือนกัน แต่บางครั้งฟังกันไม่รู้เรื่องเพราะมีภาษาถิ่นมากมาย ต่อมาคนอิตาเลียนกลุ่มหนึ่งรวมแคว้นต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ เป็น "ประเทศอิตาลี" ครั้งแรกในโลกเมื่อสองร้อยปีก่อน ก็ทำการสร้างภาษาอิตาเลียนมาตรฐานขึ้นมา เพื่อทำให้อิตาเลียนที่แตกเป็นก๊กๆ มีอะไรที่เชื่อมโยงกันได้
กระบวนการสร้างภาษาอิตาเลียนมาตรฐานนี้ได้ทำลายภาษาอิตาเลียนท้องถิ่นไปจำนวนหนึ่ง และยังมีการบีบบังคับไม่ให้พูดภาษาถิ่นด้วยวิธีการรุนแรง ก็เพื่อให้คนอิตาเลียนเป็น "คนสัญชาติอิตาเลียน" ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
เหมือนคนไทยสยาม คนลาวอีสาน คนไทยวนภาคเหนือ คนปักษ์ใต้ พูดเหมือนจะฟังกันรู้เรื่อง แต่ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง จึงต้องสร้าง "ภาษาไทยกลาง" ขึ้นมา เพื่อ "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"
กระบวนการสร้างชาติแบบเยอรมนี อิตาลี และไทยมีแนวทางคล้ายๆ กัน ประเทศอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา แม้แต่อังกฤษก็สร้างรัฐชาติสมัยใหม่ด้วยการบังคับให้คนในชาติ "ต้องพูดภาษาส่วนกลาง" แม้ว่าคนในชาตินั้นจะพูดภาษาอื่นๆ ที่อยู่คนละตระกูลภาษา แต่สุดท้ายแล้วเวลาติดต่อกับคนอื่นๆ จะต้องพูดภาษาแห่งชาติเท่านั้น เช่น ในไทยมีคนมลายู คนมอญ กะเหรี่ยง เขมรฯ แม้จะพูดภาษาถิ่นได้ แต่ต้องพูดไทยให้ได้ด้วย
ภาษาเป็นเพียงตัวอย่างเดียวของการสร้างชาติและสัญชาติ แต่มันเป็นตัวอย่างสำคัญเพราะทำให้คนในชาติเป็น "คนพวกเดียวกัน" ยังมีอุปกรณ์สร้างชาติอื่นๆ อีกเช่น การสร้างวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่จะต้องไม่เหมือนใครในโลก แม้ว่าในสมัยโบราณประเทศ A จะมีวัฒนธรรมร่วมกับประเทศ B แต่พอเป็นรัฐชาติสมัยใหม่แล้ว จะต้องรักษาของเดิมด้วยและสร้างเอกลักษณ์ใหม่ของชาติด้วย เพราะความเป็นชาติสมัยใหม่มีคอนเซปต์เดียวกัน "ความเป็นสมัยใหม่" (Modernity) นั่นคือ ความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียว และเป็นต้นฉบับ (Originality และ Authenticity)
กระบวนการพวกนี้เป็นของสร้างใหม่ทั้งสิ้น แต่ต้องทำก็เพราะ "ความจำเป็นทางการเมือง" ไม่ใช่ว่าเป็นของใหม่เพิ่งสร้าง แล้วจะไม่มีตัวตนหรือไร้ค่า ตรงกันข้าม มันคือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเราทั้งมวล
หากไม่สร้างชาติให้เป็นเอกภาพด้วยการทำให้คนในประเทศพูดเหมือนกัน มีวัฒนธรรมเหมือนกัน และจงรักภักดีในเสาหลักเดียวกัน การสร้างชาติจะพัง และประเทศจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกประเทศอื่นยึดไป หรือไม่ก็เกิดสงครามแย่งชิง
ดังนั้น เวลาเราพูดถึง "การทำลายความเป็นชาติ" หรือ "ความเป็นไทย (เขมร ลาว เจ๊ก) ไม่มีอยู่จริง จะต้องแยกให้ดีว่า มันเป็นการคิดเอาสนุกหวือหวาแบบ Mental gymnastics (ท้าทายระบบเพื่อเอามัน)
การเล่นตีความของนักวิชาการมาบูมในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้นโลกสงบสุข แม้จะมี "สงครามเย็น" แต่ก็ไม่ได้รบกันใหญ่ ดังนั้นนักคิดจึงมีเวลา "คิด" มากขึ้น เช่น บอกว่า "ความเป็นสมัยใหม่" (Modernity) ที่ไม่ชอบความหลากหลาย (เพราะมันสร้างเอกภาพในชาติขึ้นมา) มันทำร้ายมนุษย์หรือเปล่า และชาตินิยมเป็นตัวขัดขวางโลกไร้พรมแดนลงไปหรือไม่
เพราะสถานการณ์โลกที่สันติ ทำให้คนเรามีเวลาคิดเรื่องแบบนี้นั่นเอง
ตอนนี้โลกของเราไม่สงบแล้ว จากที่เห็นว่าเป็นแค่ "สงครามเย็นใหม่" ตอนนี้มันกำลังวิวัฒนาการเป็นสงครามใหญ่ครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ นักคิดทั้งหลายกลายสภาพจากนักคิดเป็นอาชีพ มาเป็นนักยุทธศาสตร์ก็หลายคน พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่มีเวลามาคิดฟุ้งซ่านกันอีก มีแต่คิดจะทำอย่างไรเพื่อรักษาบ้านเมืองของตนจากความขัดแย้ง
"ความเป็นชาติ" จึงไม่ใช่เป้าหมายในการเล่นสนุกทางวิชาการอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงล้วนๆ แล้วในตอนนี้ เป็น 'ภาวะเดจาวู' ย้อนกลับไปเหมือนในสมัย Modernity ตอนที่ชาติต่างๆ ปะทะเพราะเติบใหญ่จนทับเส้นกันเอง เช่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
ในฐานะที่ผมสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ และศึกษาทฤษฎีโครงสร้างนิยมอยู่บ้าง เข้าใจเรื่อง Woke พอสมควร แต่ก็ทำงานที่เกี่ยวกับข่าวเกี่ยวกับความมั่นคงของโลก ผมเห็นว่าไม่มีชาติไหนตอนนี้ที่เอาแนวคิด "รื้อชาติ" หรือ "ทำลายความเป็นสัญชาติ" มาโปรโมทแบบนี้ ถึงจะมีก็จะทะเลาะกับพวกต่อต้าน Woke อย่างหนัก แม้แต่ในสหรัฐฯ ที่ Woke หนักๆ มาก่อนตอนนี้สังคมแตกแยกกันหนักแล้ว
เพราะความตึงเครียดของโลก มีแต่จะเร่งรัดให้ตระหนักเรื่องความเป็นชาติ หรือให้ "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อเดียวกัน" เพราะความขัดแย้งระดับโลกกำลังจะคืบคลานเข้ามาแล้ว
ไม่ต้องมองไกลหรอกครับ เอาแค่กัมพูชา นักประวัติศาสตร์บางสำนักในไทยที่ Woke มากๆ มักจะพร่ำเพ้อว่าวัฒนธรรมไทยกับกัมพูชา "เป็นวัฒนธรรมร่วม" และเรียกร้องให้คนไทยยอมรับการอ้างวัฒธรรมของกัมพูชา
แต่กัมพูชาไม่เคยคิดที่จะมองเป็นวัฒนธรรมร่วม เพราะในกัมพูชาตอนนี้ "คลั่งชาติสุดเหวี่ยง" ไม่ใช่แค่ชาตินิยมธรรมดาๆ ถึงขนาดมองไทยว่าเป็น "โจรสยามที่ขโมยวัฒนธรรมพวกเรา" ทั้งๆ ที่ไทยนี่แหละที่ไปรื้อฟื้นวัฒนธรรมให้เขมรมาสองสามครั้งแล้วตอนที่ประเทศนี้พังเพราะฆ่ากันเอง
ที่เขมรกล้าขนาดนี้ เพราะนักวิชาการไทยบางคนพร่ำบอกว่า "ไทยไม่มีอยู่จริง แต่เกิดจากเขมร ลาว เจ๊ก แขก" เขมรจึงเชื่อคนว่า คนไทยเป็นพวกไม่มีชาติและวัฒนธรรมของตัวเอง
ทั้งๆ ที่วัฒนธรรมชาติไทยสมัยใหม่ได้สร้างขึ้นมาในช่วงที่ไทยสร้างชาติช่วงร้อยกว่าปีนี้ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ไม่เหมือนใคร (เช่น ไม่เหมือนเขมรและลาว) แต่พวกเขมรกลับมาช่วงชิงวัฒนธรรมชาติไทยนั้นไป เพราะคนไทยบางกลุ่มขาดความตระหนักในทางการเมืองของปัญหาเรื่องชาติ
เราจะเห็นว่าในขณะที่คนไทยบางกลุ่ม Woke ขนาดนั้น แต่กัมพูชายืนอยู่คนละฝั่งกับความเป็น Woke กัมพูชาจึงกล้าดีที่จะอ้างว่า "ไทยคือโจร เราคือเจ้าของวัฒนธรรม"
ถึงตอนนี้คำว่า "วัฒนธรรมร่วม" จึงเป็นวาทะที่ทำลายชาติโดยไม่รู้ตัว แถมยังช่วยให้ชาติอื่นขโมยความเป็นไทยเอาไปเป็นของตนเสียอีก
ในช่วงเวลาที่โลกรบกันหนักขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่สร้างความแข็งแกร่งให้กับ "ความเป็นไทย" คงจะรู้นะครับว่าผลของมันจะเป็นอย่างไร?
แม้แต่ตัวตนของเราก็จะถูกประเทศเล็กประเทศน้อยแย่งชิงไป นับประสาอะไรกับองค์ประกอบอื่นๆ ของความเป็นชาติเล่า?
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าว The Better
Photo - ทหารจากประเทศสยาม เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สมรภูมิในยุโรป ในยุคที่สร้างได้สร้างความเป็นชาติสมัยใหม่ถึงระดับหนึ่งแล้ว และการร่วมในสงครามนี้ทำให้สยามได้รับการยอมรับในฐานะรัฐชาติสมัยใหม่ที่ทัดเทียมชาติอื่น (ECPAD / Public Domain)