ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ ถูกจับเสียงขณะที่เปิดไมโครโฟน ในขณะที่กำลังกล่าวกับผู้นำของออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่นว่า ซึ่งเป็นพันธมิตรต้านจีนที่เรียกว่า Quad โดยเขาบอกว่าจีนที่แสดงท่าทีก้าวร้าวกำลัง "ท้าทายเรา" (testing us ในบริบทนี้ testing หมายถึงการท้าทายต่อสหรัฐฯ ไม่ได้หมายถึงการทดสอบ)
โดยคำพูดดังกล่าวเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อประชุมสุดยอด Quad ที่แม้จะเป็นกลุ่มที่รวมตัวขึ้นมาเพื่อล้อมจีน แต่ก็ระมัดระวังในการหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อประเทศจีน
การหลุดปากของไบเดน เกิดขึ้นในขณะที่เขาทำการเปิดการประชุมสุดยอด Quad ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา โดยมีนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีแห่งอินเดีย นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะแห่งญี่ปุ่น และนายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบานีสแห่งออสเตรเลีย เขาร่วมการประลชุม
ไบเดนถูกได้ยินว่า "จีนยังคงแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ท้าทายเราทั่วทั้งภูมิภาค" คำพููดนี้ควรจะเป็นคำพูดลับหลังต่อผู้นำกลุ่ม Quad แต่เสียงกลับออกมาที่ไมโครโฟนโดยไม่รู้ตัว
ไบเดนกล่าวว่า ในขณะที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนกำลังมุ่งเน้นไปที่ "ความท้าทายทางเศรษฐกิจภายในประเทศ" แต่ "ในมุมมองของผม (สีจิ้นผิง) มองหาพื้นที่ทางการทูตสำหรับตัวเอง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของจีนอย่างจริงจัง"
แต่เขายืนกรานว่า "ความพยายามอย่างหนัก" ล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการลดความตึงเครียด รวมถึงการโทรศัพท์คุยกับสีจิ้นผิงเมื่อเดือนเมษายนนั้น ช่วยป้องกันความขัดแย้งได้
ความผิดพลาดของไมโครโฟนที่ดังเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามทางการทูตอย่างรอบคอบของทั้งสี่ประเทศ Quad ในระหว่างการประชุมสุดยอดที่ยืนกรานว่าการรวมกลุ่มของพวกเขามีจุดประสงค์มากกว่าแค่การถ่วงดุลกับจีน
'กังวลอย่างมาก'
ในแถลงการณ์ร่วมหลังการประชุมสุดยอด ผู้นำทั้งสี่ไม่ได้เอ่ยถึงจีนโดยตรง แม้ว่าพวกเขาจะแสดงความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดบนพรมแดนก็ตาม
"เรากังวลอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้" คำประกาศของ Quad ระบุ
ผู้นำทั้งสี่ประณาม "การใช้กำลังและข่มขู่คุกคาม" ในทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนขัดแย้งกับฟิลิปปินส์และประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ทางทะเล แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นการใช้กำลังของใคร
หมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทในทะเลจีนตะวันออกเป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียดระหว่างญี่ปุ่นและจีนมาช้านาน
ผู้นำกลับใช้คำพูดที่คลุมเครือเช่นเดียวกับที่เคยทำในโอกาสก่อนๆ เกี่ยวกับการคงไว้ซึ่งภูมิภาค "เสรีและเปิดกว้าง" และพูดถึง "ความท้าทาย" ทางภูมิรัฐศาสตร์
ยังมีแง่มุมอีกด้านที่ครอบงำการประชุมสุดยอด Quad คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ผู้ชอบแยกตัวจากพันธมิตร กำลังแข่งขันอย่างดุเดือดกับกมลา แฮร์ริส ทายาททางการเมืองของไบเดน
ไบเดนยืนกรานว่ากลุ่ม Quad จะอยู่รอดได้ไม่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร
ไบเดนกล่าวกับผู้นำในคำปราศรัยต่อสาธารณะว่า "แม้ว่าจะมีความท้าทายเกิดขึ้น แต่โลกจะเปลี่ยนไปเพราะกลุ่ม Quad จะอยู่ที่นี่เพื่ออยู่ต่อ" ก่อนที่นักข่าวจะถูกเชิญออกไป
เมื่อนักข่าวถามว่ากลุ่ม Quad จะอยู่เลยการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายนไปได้หรือไม่ ไบเดนตอบว่า "เลยเดือนพฤศจิกายนไปมาก เลยเดือนพฤศจิกายนไปมาก"
'อยู่ที่นี่เพื่ออยู่ต่อ'
นายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดียก็ให้คำมั่นสัญญาในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลสหรัฐฯ รัฐบาลออสตรเลีย และรัฐบาลญี่ปุ่นจะรู้สึกยินดีเพราะที่ผ่านมาอินเดียแสดงท่าทีไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาโดยตลอด
“สาส์นจากเราคือ Quad จะอยู่ที่นี่เพื่ออยู่ต่อ” โมดี กล่าว ซึ่งอินเดียมีกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Quad ในปีหน้า
ไบเดน ซึ่งขอถอนตัวจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับอายุของเขา ได้กล่าวสุนทรพจน์อำลานี้ด้วยความรู้สึกส่วนตัว
การประชุมสุดยอดสี่ฝ่ายดังกล่าวจัดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมเก่าของเขาในเมืองวิลมิงตัน และก่อนหน้านี้ เขาได้เปิดบ้านของเขาในเมืองนี้ให้ผู้นำแต่ละคนได้พูดคุยแบบส่วนตัว
“ผมดีใจมากที่คุณได้มาที่บ้านของผมและได้เห็นสถานที่ที่ผมเติบโตมา” เขากล่าว
ผู้นำยังได้ประกาศการลงทุนเพื่อต่อสู้กับมะเร็งปากมดลูกสำหรับโครงการ “Cancer Moonshot” ของไบเดน ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยคนในสังคมอีกโครงการหนึ่ง เนื่องจากโบ ลูกชายคนโตของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมอง
สื่อมวลชนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการประชุมส่วนตัวที่บ้านของไบเดน
ไบเดนโพสต์ภาพบนโซเชียลมีเดียของเขากับอัลบานีสและคิชิดะในห้องนั่งเล่นไม้ในบ้านของเขา และแสดงให้พวกเขาเห็นวิวทะเลสาบจากระเบียง
ทำเนียบขาวกล่าวว่าการประชุมสุดยอดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่ไบเดนให้ความสำคัญกับพันธมิตรระหว่างประเทศ
มีคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัญ เพราะเขาขู่ว่าจะถอนสหรัฐฯ ออกจากกลุ่มต่างๆ เช่น นาโต ขณะเดียวกันก็ยกย่องผู้นำรัสเซียและเกาหลีเหนือ
Story by Agence France-Presse
Photo by Brendan SMIALOWSKI / AFP