ไทยจะสูญสิ้นก่อนสิงคโปร์ เพราะ 'ต่างด้าว' ล้นเมือง และ 'ความเป็นไทย' กำลังถูกทำลาย 

ไทยจะสูญสิ้นก่อนสิงคโปร์ เพราะ 'ต่างด้าว' ล้นเมือง และ 'ความเป็นไทย' กำลังถูกทำลาย 
บทความทัศนะ (Opinion) ต่อสถานการณ์บ้านเมืองเรา เทียบกับประสบการณ์ของเพื่อนบ้าน

ก่อนที่จะเกิดกระแสต่อต้านคนต่างด้าว (ที่เยอะเกินไป) ในประเทศไทย ผมได้ดูคลิปปราศรัยเก่าๆ ของ ลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เรื่องปัญหาและการรับผู้อพยพเข้าประเทศสิงคโปร์

สิงคโปร์นั้นเป็นประเทศเกิดใหม่ที่ประกอบด้วยผู้คนหลากลายเชื้อชาติ และเพื่อสร้างชาติจึงต้องรับผู้อพยพเข้ามาเรื่อยๆ 

แต่ผู้อพยพมี 2 ประเภท คือประเภทแรงงานหรือทักษะต่ำ กับพวกทักษะสูงหรือคนมีการศึกษาสูง

สิงคโปร์ต้องการอย่างหลัง ส่วนอย่างแรกให้เข้ามาช่วยงานเฉพาะกิจ จากนั้นก็ผลักดันออกไป ไม่ให้อยู่ค้างคา

ทุกวันนี้สิงคโปร์มีปัญหาเดียวกันไทย คืออัตราการเกิดของประชากรต่ำ แต่เพราะสิงคโปร์ใช้วิธีแบบลีกวนยูมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีปัญหาถ้าประชากรเดิมจะมีลูกน้อย เพราะสามารถรับคนนอกเข้ามาเพิ่มได้ ตราบใดที่มีการกำหนด "ความเป็นสิงคโปร์" ให้ ชัดเจน

ลีกวนยูพูดว่าอะไรบ้าง?

ในปี 1971 พูดว่า "คุณเห็นไซต์ก่อสร้างไหม 60 ถึง 70% ไม่ใช่คนงานสิงคโปร์  พวกเขาทำงานหนักกว่า แบกรับความเสี่ยงมากกว่า สิ่งที่พวกเขาได้รับจากที่นี่คือรายได้ที่สูงกว่าที่พวกเขาได้รับที่ประเทศของพวกเขาสองถึงสามเท่า แต่พวกเรา (ชาวสิงคโปร์) เป็นผู้แบกรับความภาระทางสังคม พวกเขา (แรงงานต่างด้าว) ทำให้บ้านเมืองสกปรก พวกเขาไม่ได้เติบโตขึ้นมาในโรงเรียนของเรา พวกนั้นจึงทิ้งขยะเรี่ยราด นั่นล่ะปัญหา"

เขายังบอกต่อไปว่า "และถ้าคุณเอา (แรงงานต่างด้าว) เข้ามามากเกินไป แทนที่ค่านิยมของเราจะเหนือกว่าคนพวกนี้ พวกนี้จะดึงพวกเรามารับค่านิยมของพวกเขา เพราะมันง่ายกว่าที่จะเป็นคนไม่มีระเบียบ รกรุงรัง สกปรก ต่อต้านสังคม มากกว่าที่จะเป็นพลเมืองที่มีระเบียบ มีพฤติกรรมเรียบร้อย และเป็นพลเมืองที่ดี"

จากปราศรัยนี้ คีย์เวิร์ดอยู่ที่ "ค่านิยมของเราจะถูกทำลาย" ลีกวนยูเป็นคนที่สร้างชาติขึ้นมาไม่ใช่ด้วยการสร้างตึกสร้างท่าเรือ แต่สร้าง "ค่านิยมแบบสิงคโปร์" ขึ้นมา นั่นคือสร้างคนให้เป็นพลเมืองที่จงรักภักดีต่อชาติ ขยันทำงาน เพราะการทำงานหนักคือการสร้างตัวและสร้างบ้านเมืองไปพร้อมๆ กัน และที่สำคัญต้องรักษาบ้านเมืองด้วยการเป็นคนมีระเบียบวินัย 

นี่คือแกนหลักที่ทำให้สิงคโปร์เป็นสิงคโปร์อยู่ได้ แม้ว่าจะประกอบไปด้วยชนชาติและศาสนาต่างๆ 

ถามว่าประเทศไทยมี 'ค่านิยมไทย' หรือไม่? ก็น่าจะมี แต่ผมเห็นว่าเวลานี้ใครพูดเรื่องค่านิยมไทยขึ้นมาจะถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นพวก "ล้าหลังคลั่งชาติ" คนพวกนั้นจะบอกว่า "ชาติไม่มีอยู่จริง" เพราะเป็นสิ่งที่เพิ่งสร้างขึ้นมา และ "ความเป็นไทยไม่มีอยู่จริง "เพราะเป็นสิ่งที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นมา

ผมเคยเขียนไว้ว่า 'ชาติ' มันเป็นของเพิ่งสร้างอยู่แล้ว เพราะทั่วโลกเกิดรัฐชาติสมัยใหม่ในเวลาไล่เลี่ยกันคือ 200 ถึง 100 กว่าปีก่อนนี่เอง รวมถึงเยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ไทย ฯลฯ  แม้แต่สิงคโปร์ก็เพิ่งแยกจากมาเลเซียมาตั้งตัวใหม่ไม่ถึง 60 ปี

ดังนั้นอย่าอ้างว่าชาติเป็นของสร้างใหม่ เพราะมันไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีอย่างไร ถ้ามันไม่มีจริง ป่านนี้ประเทศต่างๆ สลายความเป็นชาติหมดแล้ว ตรงกันข้ามประเทศต่างๆ ยึดความเป็นชาติหนักขึ้น ดูอย่างอังกฤษที่ไม่ยอมให้สก็อตแลนด์แยกตัวจากสหราชอาณาจักรเสียที

คนที่บอกว่าชาติไม่มี ค่านิยมไม่ดี ชาตินิยมนั้นเลว คือพวกที่ผมเรียกว่า 'โว๊คทางประวัติศาสตร์' ซึ่งกำลังทำลายประเทศเรา เพราะหากไม่มีความรักชาติและส่งเสริมค่านิยมแบบไทย ต่อไปเราจะมีปัญหาแบบที่ลีกวนยูเตือนไว้ 

'ค่านิยมสิงคโปร์' ที่ลีกวนยูกล่าวถึงนั้น คือสิ่งสร้างใหม่เหมือนกัน แต่มันสำคัญต่อความเป็นความตายของสิงคโปร์ ดังนั้นจะเสียมันไม่ได้ การจะเสียมันไปคือการที่คนนอกเขามาเป็นคนสิงคโปร์รุ่นใหม่แต่หัวใจไม่มีค่านิยมสิงคโปร์ (คือไม่รักชาติบ้านเมือง) 

ใครที่กังวลว่าบ้านเมืองเราจะมุ่งไปสู่หนทางใด โปรดอ่านปราศรัยของลีกวนยูอีกครั้งหนึ่ง แล้วตรึกตรองให้ดีว่าจะปล่อยให้บ้านเราถูกครอบงำด้วยแนวคิด 'ต่อต้านชาตินิยม' หรือไม่? 

พวกที่มีแนวคิดต่อต้านชาตินิยม ยังเป็นพวกเดียวกับพวกส่งเสริมการเข้าเมืองของต่างด้าวอย่างฟรีสไตล์

ผมไม่ได้ต่อต้านแรงงานต่างด้าวหรือผู้อพยพ ตรงกันข้ามผมสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะไทยกำลังเผชิญปัญหาแบบเดียวกับสิงคโปร์ และถ้าคนพม่า ลาว เขมร เวียด จีน ฯลฯ ต้องการจะมาอยู่ไทยเพื่อทำงานก็ไม่มีปัญหา จะอนุโมทนาสาธุด้วยซ้ำ ขอแค่อย่าแห่กันมาจนล้นบ้านเรา และอย่าละเมิดกฎหมายไทยก็พอ

และถ้าคนเหล่านี้อยากเป็น 'คนไทยรุ่นใหม่' ผมก็จะไม่ขัดขวาง ตราบเท่าที่เขาจงรักภักดีต่อประเทศไทย 

แต่ประเด็นก็คือ เราจะต้อง 'แกร่ง' แบบสิงคโปร์ในแง่ของการสร้างความเป็นสิงคโปร์ ค่านิยมของสิงคโปร์ และรักชาติแบบสิงคโปร์ 

ไม่ใช่ว่าสอนให้ประชนคนไทยตั้งแง่กับชาติตัวเองและรังเกียจทุกสิ่งที่เป็นไทย พร้อมๆ กับเปิดบ้านให้คนนอกเข้ามาไม่หยุด แบบนี้จะเหลือความเป็นประเทศไทยของคนไทยอีกสักกี่ปี? 

ในปี 1979 ลีกวนยูเอ่ยถึงปัญหานี้อีกครั้งเพราะแรงงานจะเข้ามาเพิ่มเป็นทวีคูณเรื่อยๆ พร้อมถามว่า  "แล้วมันแบกรับกันไหวไหม?"

แม้แรงงานคนนอกเหล่านี้จะทำงานหนักและขยันขันแข็ง แต่ "ในเวลา 10 ปี เราจะกลืน คนจำนวนมากขนาดนี้ได้ไหม? มันจะมีปัญหาทางวัฒนธรรม ทางภาษา ทางสังคม และการเมือง"

จากคำพูดนี้ ลีกวนยูไม่ได้รังเกียจคนต่างด้าว แต่ชมด้วยซ้ำว่าขยันและปรับตัวได้ดี เพียงแต่กังวลว่าคนพวกนี้จะไม่ถูกกลืนเข้าสู่สังคมสิงคโปร์ และจะเกิดปัญหาขัดแย้งด้านต่างๆ เพราะมากจากคนละวัฒนธรรมกัน

ดังนั้น แม้ว่าค่านิยมสิงคโปร์จะแกร่ง แต่ถ้าคนนอกมากไปมันจะแบกรับไม่ไหวเหมือนกัน 

เช่นกัน แม้ว่าเราจะปั้นค่านิยมรักชาติและมาตรฐานความเป็นคนไทยขึ้นมา แต่ถ้าเอาคนนอกเข้ามามากเกินไปโดยไม่ดูที่คุณภาพ (คือพวกที่พร้อมยอมรับค่านิยมของเรา) โอกาสที่จะสิ้นชาติก็มีสูง 

เมื่อดูปราศรัยของลีกวนยูแล้ว แม้ว่าปัญหาต่างๆ จะยังแก้ไม่ตก แต่ผมคิดว่าคนสิงคโปร์มีความหวังเพราะผู้นำรู้ปัญหาแล้ว ไม่ใช่ผู้บริหารบ้านเมืองของเราที่อย่าว่าแต่รู้ปัญหาเลย ยังจะทำปัญหาให้หนักกว่าเดิมเสียอีก

ส่วนลีกวนยูถึงจะใกล้จากโลกนี้ไป แต่ใจเขายังกังวลกับประเทศที่สร้างมากับมือ ในปี 2013 (ก่อนจะเสียชีวิตในปี 2015) เขาพูดเรื่องทางออกของปัญหาอัตราการเกิดต่ำในสิงคโปร์กับการเข้ามาของผู้อพยพ

การรับผู้อพยพใหม่เข้ามาเป็นประชากรสิงคโปร์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

แต่ปัญหาก็คือ "ผู้อพยพใหม่บางคนอาจมาจากประเทศที่มีเชื้อชาติเดียวมากกว่า (คือไม่ใช่สังคมที่หลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา) และไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นจากเชื้อชาติอื่น ทัศนคติทางสังคมที่พวกเขามาด้วยอาจไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานและแนวทางปฏิบัติทางสังคมในสิงคโปร์อย่างไม่รู้ตัว และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เราต้องระวังทัศนคติเช่นนี้ ซึ่งอาจรุกล้ำวิถีชีวิตของเราอย่างไม่เหมาะสม"

ยังมีปัญหาอื่นๆ อีก เช่น ผู้อพยพเขามารุ่นหลังมักเป็นคนชั้นกลางรายได้สูงซึ่งไม่นิยมมีลูกเหมือนคนสิงคโปร์ดั้งเดิมอีกนั่นแหละ ดังนั้น "ผู้อพยพแต่ละรุ่นจึงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาพื้นฐานอย่างถาวร แต่เป็นเพียงการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว จำเป็นต้องมีผู้อพยพเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด"

แต่ผมเชื่อว่าตราบใดที่สิงคโปร์รักษาตัวตนเอาไว้ได้ ตราบนั้นต่อให้สิงคโปร์มีผู้อพยพเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุดก็ยังหลอมรวมคนเหล่านั้นเป็นเนื้อเดียวกันได้ เพราะรากฐานวางไว้ดี  และรัฐบาลสิงคโปร์ไม่ว่าจะนำโดยนายกฯ คนไหนก็มั่นคงกับแนวทางที่ไม่ยอมให้ 'ค่านิยมแปลกปลอม' มาบ่อนทำลายชาติ 

เช่น นายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง บุตรชายของลีกวนยู เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้วิจารณ์ 'วัฒนธรรมโว๊คของตะวันตก' ที่บั่นทอนความสามัคคีในสังคม เขาบอกว่า "ในโลกตะวันตกมีขบวนการที่เรียกว่า Wokeness ซึ่งผู้คนจะใส่ใจปัญหาของผู้อื่นเป็นพิเศษ... ขบวนการนี้ก่อให้เกิดทัศนคติและบรรทัดฐานทางสังคมที่รุนแรง โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยบางแห่ง"

เมืองไทยก็คงไม่แคล้วเป็นแบบสิงคโปร์ แต่ปรากฏว่าไทยส่งเสริม 'วัฒนธรรมโว๊คของตะวันตก' อย่างแพร่หลาย ซึ่งผมไม่มีปัญหาอะไรกับ Wokeness ส่วนใหญ่ แต่มีปัญหาเฉพาะบางส่วนที่บ่อนทำลายเอกภาพของสังคม เช่น พวกที่บอกว่า "ความเป็นไทยไม่มีอยู่จริง" 

แถมเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและพวกเจ้าของกิจการที่ "ไม่รักชาติ" ยังลักลอบเอาคนต่างด้าวเข้าประเทศเยอะเกินเหตุแล้ว โดยไม่ดูว่าคนเหล่านั้นเข้ามาช่วยแก้ปัญหาขาดแรงงาน (แก้แล้วก็ส่งตัวกลับไปไม่ให้อยู่ยาว) หรือเข้ามาอาศัยบ้านเมืองเราโดยไม่สร้างคุณประโยชน์อะไร

ครั้นเอาคนเก่งๆ เข้ามาก็ไม่มีการบ่มเพาะให้คนเหล่านั้นจงรักภักดีต่อประเทศไทยในระยะยาว ผมล่ะวิตกกับอนาคตประเทศเราจริงๆ 

ดังนั้น ก่อนจะใช้วิธีแบบสิงคโปร์ คนไทยควรจะปกป้องอัตลักษณ์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง และปฏิเสธความพยายามใดๆ ที่จะทำลายความเป็นไทย เพรามาถึงจุดนี้แล้ว การทำลายความเป็นไทย เท่ากับชักนำประเทศไปสู่การสูญพันธุ์ในวันข้างหน้า 

ดีไม่ดีถ้าเราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ประเทศไทยที่ใหญ่กว่าสิงคโปร์หลายเท่า อาจจะดับสูญไปก่อนก็เป็นได้

เวลามีปัญหาเรื่องคนนอกล้นประเทศ คนสิงคโปร์จะหวนคิดถึงลีกวนยู แต่คนไทยล่ะ เราจะคิดถึงใครกันแค้ 

หรือว่าจะเป็น จอมพล ป.?

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ภาพประกอบนี้ไมเกี่ยวกับเนื้อโดยตรง แต่ผู้เขียนต้องการสะท้อนถึงรูปแบบหนึ่งของ "ตัวตนคนไทย" นับแต่โบราณ จากภาพถ่ายชุด Siam โดย John Thomson ถ่ายเมื่อปี ค.ศ. 1865 เป็นสมบัติของ Wellcome collection (Public Domain)

TAGS: #ต่างด้าว #สิงคโปร์