เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม บริษัท SAIC Motors รัฐวิสาหกิจผู้ผลิตยานยนต์ของจีนซึ่งเป็น "สี่บริษัทใหญ่" ของรัฐวิสาหกิจจีน โดยมียอดขาย 5.02 ล้านคันในปี 2023 ได้มีการการปรับเปลี่ยนผู้นำระดับสูงสองคนของบริษัท หนึ่งในนั้น คือ เจี่ยเจี้ยนซวี่ (贾健旭) ที่ตอนนี้มีอายุเพียง 46 ปี เข้ารับตำแหน่งประธานกลุ่ม SAIC
ด้วยความที่เป็นคนหนุ่มไฟแรงทำให้ เจี่ยเจี้ยนซวี่ ถูกจับตามองอย่างมากและเขามักแสดงวิสัยทัศน์ที่แหลมคมจนเป็นที่กล่าวขานอยู่บ่อยๆ ท่ามกลางสถานการณ์ของบริษัทที่น่ากังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ SAIC Motor มียอดขายสะสม 2.649 ล้านคัน จึงเท่ากับถูกแซงหน้า BYD ที่มียอดขาย 2.748 ล้านคัน นอกจากนี้ ยอดขายส่งออกต่างประเทศยังแพ้บริษัท Chery
สื่อจีนบางแห่งชี้ว่าในตอนนี้ กำลังเผชิญกับวิกฤตการเข้าให้แล้ว หรือพูดแบบเบาๆ ก็คึอกำลังอยู่ในช่วงขาลง (ชั่วคราว?)
เพื่อกระตุ้นเร้าการต่อสู้ในสงครามรถยนต์จีนที่ดุเดือดเลือดพล่าน เจี่ยเจี้ยนซวี่ จึงต้องออกแรงปลุกระดมมากขึ้น ตามรายงานล่าสุดของสื่อจีน เจี่ยเจี้ยนซวี่ ประธานบริษัท SAIC Motors ซึ่งดำรงตำแหน่งมาได้เพียง 3 เดือน กล่าวในการประชุมคณะทำงานกลางปี 2024 ว่า “เราต้องคุกเข่าให้เป็น คุกเข่าให้เป็นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าอย่าให้คนอื่นเห็นว่าเราสูงส่งเพียงใด ตอนนี้เรามีผู้นำจำนวนมากที่เย่อหยิ่งและเชิดหน้าชูคอเหนือฟ้า แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? (ทำแบบนี้) คุณจะถูกอิฐขว้างหัวตายเสียก่อนเป็นคนแรก”
เขากล่าวว่า "เราต้องเรียนรู้ที่จะคุกเข่าลง ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและทำงานอย่างมีเกียรติ คนอื่นจะไม่มีทางรู้ว่าคุณสูงแค่ไหนก็ต่อเมื่อคุณคุกเข่าเท่านั้น แต่เมื่อคุณลุกขึ้นยืนในวันหนึ่ง คุณจะกลายเป็นยักษ์อย่างแท้จริง"
เขาชี้ให้เห็นว่า เมื่อถ่อมตัวหรือต้องเป็นคนที่คุกเข่าได้ จากนั้นก็ค่อยรอเวลาผงาดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อโอกาสมาถึง แต่หนทางผงาดของ SAIC Motor คืออะไร? เขาบอกว่า
"สร้างความเชื่อมั่น แสวงหาความอยู่รอด และแสวงหาการพัฒนา ประการแรกคือความเชื่อมั่นของพนักงานซึ่งก็คือครอบครัวของเราเอง และเราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน ประการที่สองคือความเชื่อมั่นของตัวแทนจำหน่ายและซัพพลายเออร์ ความเชื่อมั่นมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใดใน SAIC-GM ในเวลานี้"
“การอยู่รอดหมายความว่าอย่างไร? คือการขายอะไรก็ได้ที่สร้างรายได้ เราขาย Buick GL8 เราทำเงิน ตัวแทนจำหน่ายทำเงิน และซัพพลายเออร์ทำเงิน เราต้องมีความมั่นใจที่จะอยู่รอดและพัฒนาได้ การอยู่รอดเท่านั้นที่เราจะพัฒนาได้”
จากนั้นเขาก็อธิบายเป็นขั้นตอนว่า “รถยนต์ไฟฟ้ากำลังขาดทุน คุณต้องขายมันอย่างสม่ำเสมอ สนับสนุนแบรนด์และขายมันอย่างสม่ำเสมอ และใช้เงินที่ได้มาจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพื่ออุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า”
ดังนั้น เป้าหมายนี้คือการส่งเสริมรถน้ำมัน เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับรถไฟฟ้า
"[เพราะ] เราไม่มีสินค้า (ใหม่) เราทำได้แค่ขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันต่อไป ผมเสนอให้เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่เรื่อย ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันกันน้อยลงเรื่อยๆ กลุ่มนี้เล็กลงเรื่อยๆ และช่องทางก็แคบลงเรื่อยๆ ที่ล้มหายตายจากไปก็มาก แล้วเราจะไม่สามารถเป็นผู้บุกเบิกได้หรือ?"
อีกหนทางหนึ่งคือการโอนถ่ายต้นทุนให้กับ "คนอื่น" เจี่ยเจี้ยนซวี่ อธิบายว่า "[ทีมผู้บริหาร] อยากจะเป็นนักขายใหญ่ แล้วจะขายเทคโนโลยีให้ใคร? ก็ขายให้กับบริษัทร่วมทุน ทำไมน่ะหรือ? เหนือขึ้นไปคือต้นทุนของเรา ข้างล่างคือตัวหาร ซึ่งก็คือผู้ใช้ของเรา ผมต้องการหารต้นทุนกับผู้ใช้จำนวนมาก และสร้างเทคโนโลยีหลักในเวลาเดียวกัน แต่ในปัจจุบัน ปริมาณรวมยอดขายในประเทศของเรามีจำกัด และเราต้องแบ่งต้นทุนของเรากับปริมาณรวมของแบรนด์ร่วมทุน เพื่อให้เราสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และให้เรายืนหยัดได้สักวัน มิฉะนั้น เราจะทำได้แค่คุกเข่าต่อไป"
ปัญหาใหญ่อีกอย่างของ SAIC Motor คือความไม่มีเอกภาพและความไม่คุ้มที่เกิดจากการร่วมทุน โดยเฉพาะการร่วมทุนโดยการจ่ายค่าถ่ายโอนเทคโนโลยี เจี่ยเจี้ยนซวี่ ชี้ว่า "บางครั้งคุณไม่สามารถลุกขึ้นได้หลังจากนอนบนเตียงเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือคุณจะเป็นอัมพาต แต่เรามีสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่? หลังจากร่วมทุนกันมา 30 ปี (บางบริษัท) ก็ยังเป็นอัมพาตมาโดยตลอด หากเราต้องการแยกทาง ก็ให้แยกทางกับฝ่ายต่างประเทศของเรา มีอีกกี่คนที่ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการถ่ายโอนเทคโนโลยีกัน?"
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better