จางอีหมิง ผู้ก่อตั้งบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดแอป Douyin ในจีน และ TikTok ในตลาดโลก กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีนแล้ว ตามรายงานของสถาบันวิจัย Hurun Research Institute ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับคนรวยในจีน ปัจจุบัน จางอีหมิง วัย 41 ปี ผู้มีทรัพย์สินส่วนตัว 49,300 ล้านดอลลาร์ แซงหน้า จงสานส่าน ผู้ก่อตั้งบริษัท Nongfu Spring ที่เสียตำแหน่งอันดับหนึ่งไปหลังจากครองอันดับหนึ่งมาเป็นเวลา 3 ปี
1. จางอีหมิง เกิดในเดือนเมษายน พ.ศ. 2526 ที่ในเขตหย่งติ้ง เมืองหลงเหยียน มณฑลฝูเจี้ยน ในวัยเด็ก พ่อแม่ของเขามักพูดถึงเพื่อนที่พัฒนาเทคโนโลยีบางอย่างหรือผลิตสินค้าบางอย่างในต่างประเทศ การที่เขาเติบโตภายใต้บรรยากาศแบบนี้บวกกับการที่เขาได้สัมผัสกับการทำธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้จางอีหมิงตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างโลกธุรกิจและนวัตกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย
2. ตอนที่เขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหนานไค ตอนแรกเรียนวิชาเอกไมโครอิเล็กทรอนิกส์ แต่หลังจากลงทะเบียนเรียนแล้ว จางอีหมิงกลับไม่สนใจหลักสูตรไมโครอิเล็กทรอนิกส์ แต่หันมาสนใจวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เขายื่นขอเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และดำเนินการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก่อนปีที่สาม และเพราะทักษะของเขาในด้านนี้ ทำให้จางอีหมิงชื่อเสียงอย่างมากในวงการเทคโนโลยีของมหาวิายาลัย เขายังฝึกฝนตัวเองผ่านงานอดิเรกสามอย่าง ได้แก่ การเขียนโค้ด อ่านหนังสือ และซ่อมคอมพิวเตอร์
3. ในปี 2548 เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหนานไคด้วยปริญญาด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เขาก่อตั้งทีมสามคน ร่วมกับรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยหนานไคเพื่อพัฒนาระบบการบริหารการพิสูจน์ตัวตนและการเข้าถึง หรือ IAM สำหรับองค์กร ในเวลานั้นไม่มีตลาดสำหรับ IAM ในจีน หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ระบบก็ล้มเหลว จางอีหมิงประสบความล้มเหลวครั้งแรก ประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการครั้งแรกทำให้เขาตระหนักว่าหากจะเริ่มต้นธุรกิจในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต เขาจำเป็นต้องค้นหาทิศทางที่ถูกต้องและสามารถคว้าโอกาสต่างๆ เอาไว้ได้
4. ในปี 2549 เขาเข้าร่วมเว็บไซต์ Kuxun.com โดยกลายเป็นวิศวกรคนแรกของ Kuxun ปีถัดมา เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการด้านเทคนิคอาวุโส เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งใหม่ของเขา เขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการด้านเทคนิคและนำทีมพัฒนา 40 คนเข้าร่วมในการวิจัยทางเทคนิคและการพัฒนาและงานด้านเทคนิคเบื้องหลัง ที่ Kuxun แม้ว่าจางอีหมิงจะรับผิดชอบเฉพาะด้านเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่เขาก็ช่วยเพื่อนร่วมงานแก้ปัญหาเมื่อใดก็ตามที่ทีมอื่นมาหาเขา เขาจะพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ มักจะเดินทางไปพร้อมกับผู้อำนวยการฝ่ายขายของบริษัทเพื่อพบปะลูกค้า และอธิบายการดำเนินงานโครงการของบริษัทให้พนักงานใหม่ฟัง ประสบการณ์ที่รี่ช่วยทำให้ความเป็นนักธุรกิจของเขาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
5. แต่ในที่สุด Kuxun ก๋เจอเข้ากับทางตัน และผู้บริหารทะยอยกันลาออก จางอีหมิงก็เลือกที่จะลาออกเช่นกัน ในช่วงนี้ หวางซิ่ง คนจากเมืองหลงเหยียน มณฑลฝูเจี้ยน บ้านเกิดของจางอีหมิงมาชวนให้เขาเริ่มต้นธุรกิจร่วมกัน แต่จางอีหมิงปฏิเสธ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เข้าร่วม Microsoft China ที่ Microsoft เขาต้องทำงานเพียงสามหรือสี่ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าสบายมาก แต่สภาพแวดล้อมการทำงานที่สะดวกสบายของ Microsoft ไม่ใช่สิ่งที่จางอีหมิต้องการ หลังจากทำงานมาครึ่งปี เขาก็ขอลาออก
6. ในเวลานี้ จางอีหมิงได้พบกับหวางซิ่งอีกครั้งและหวางซิ่งเชิญชวนให้จางอีหมิงมาเริ่มต้นธุรกิจร่วมกันอีกครั้ง ครั้งนี้ จางอีหมิงไม่ปฏิเสธและเข้าร่วมทีมของหวางซิ่งในฐานะหุ้นส่วนทางเทคนิค ซึ่งรับผิดชอบระบบแบ็กเอนด์ของ Fanfou และ Hainei.com แต่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไร เพราะในเดือนกรกฎาคม 2552 เนื่องจากความประมาทเลินเล่อในการดูแลเนื้อหา เซิร์ฟเวอร์ Fanfou ทั้งหมดจึงหยุดดำเนินการ หวางซิ่งประกาศยุบทีม ส่วนจางอีหมิงก็ออกจากทีมเช่นกัน
7. หลังจากออกจาก Fanfou แล้ว หวางโฉง ซึ่งเคยเป็นนักลงทุนที่ Kuxun.com ได้ติดต่อจางอีหมิงและพยายามชักชวนให้เขาทำงานในโครงการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนกันยายน 2552 จางอีหมิงได้ก่อตั้ง Jiujiufang และนำทีมในตำแหน่ง CEO ธุรกิจของ Jiujiufang ขยายตัวได้อย่างราบรื่นและพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นแอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่ง แต่แม้ว่าการร่วมทุนครั้งที่สี่ของเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เขารู้สึกว่ายุคของอินเทอร์เน็ตบนมือถือกำลังมาถึง ในปี 2011 จางอีหมิงลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Jiujiufang และรับเงิน 2 ล้านหยวนมาทำการลงทุนครั้งใหม่
8. ในเดือนมีนาคม 2555 จางอีหมิงเริ่มต้นการเดินทางเป็นผู้ประกอบการครั้งที่ห้าในบ้านส่วนตัวบนถนนจือชุนในกรุงปักกิ่ง และตั้งชื่อบริษัทว่า ByteDance แม้จะเริ่มต้นและเปลี่ยนแปลงมาหาครั้งแล้ว แต่คราวนี้จางอีหมิงเต็มไปด้วยความมั่นใจในการตั้งหลักครั้งที่ห้าของเขา เขาทบทวนประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการของเขาและพบว่าเขาเคยทำสิ่งเดียวกันนี้มาหลายปีแล้ว นั่นคือ การรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล ดังนั้น ByteDance ยังคงวางตำแหน่งเป็นบริษัทรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล โดยเผยแพร่เนื้อหาที่ผู้ใช้สนใจและต้องการ
9. แม้จุดแข็งยังเป็นสิ่งที่เขาถนัด แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีก ในเดือนสิงหาคม ผลิตภัณฑ์เรือธงของ ByteDance ได้เปิดตัว Toutiao ซึ่งใช้เทคโนโลยีเครื่องแนะนำส่วนบุคคลในการแนะนำข้อมูลส่วนบุคคลให้กับผู้ใช้โดยพิจารณาจากมิติต่างๆ เช่น นิสัยการอ่าน ความสนใจ และสถานที่ของผู้ใช้แต่ละคน ปรากฏว่าในช่วงต้นปี 2556 จำนวนผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ByteDance ต่อวัน (DAU) มีจำนวนเกือบ 2 ล้านคน ทีมงานขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาดังกล่าว โดยมีพนักงานเพิ่มขึ้นจากสิบคนเป็นมากกว่า 30 คน และต้องย้ายสำนักงานกันใหม่ให้ใหญ่กว่าบ้านของเรา
10. จุดเริ่มต้นธุรกิจเรือธงใหม่ของ ByteDance เกิดขึ้นในปี 2559 ได้มีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม Toutiao Video (ซึ่งเป็นต้นแบบของ Xigua Video) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Xigua Video ช่วยให้ทุกคนค้นพบวิดีโอโปรดของพวกเขาผ่าน AI และช่วยให้ผู้สร้างวิดีโอแบ่งปันผลงานวิดีโอของพวกเขากับคนทั่วโลก เมื่อวันที่ 20 กันยายน Toutiao ประกาศว่าจะลงทุน 1 พันล้านหยวนเพื่อสนับสนุนผู้สร้างวิดีโอสั้น ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จางอีหมิงกล่าวว่าวิดีโอสั้นกำลังเข้าสู่ยุคของการสร้างรายได้สากล และนี่คือการปูทางไสู่การสร้างแอปวิดิโอที่จริงจังมากขึ้น
11. ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม 2558 ByteDance เปิดตัว TopBuzzVideo ซึ่งเป็นเวอร์ชันต่างประเทศของ Xigua Video แต่ซอฟต์แวร์นี้ทั้งหมดไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นได้และไม่ได้รับความนิยมมากนัก จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 จุงมีการเปิดตจัวแอป Douyin ซึ่งแอปวิดีโอสั้น Douyin เป็นซอฟต์แวร์โซเชียลวิดีโอสั้นสร้างสรรค์ดนตรีและแพลตฟอร์มชุมชนวิดีโอสั้นดนตรีสำหรับผู้ใช้ทุกวัย ผู้ใช้สามารถใช้ซอฟต์แวร์นี้เพื่อเลือกเพลง ถ่ายวิดีโอสั้นดนตรี และสร้างผลงานของตนเอง และซอฟต์แวร์จะผลักดันวิดีโอโปรดของผู้ใช้ตามความชอบของพวกเขา
12. และ Douyin คือจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง มันได้รับความนิยมอย่างมากในจีน ดังนั้น ในปี 2560 ByteDance จึงเปิดตัวแพลตฟอร์มโซเชียลวิดีโอสั้น TikTok ซึ่งเป็นเป็น Douyin สำหรับตลาดในต่างประเทศ โกลายเป็นผู้นำแอปวิดิโอสั้นในเวียดนาม ญี่ปุ่น ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา และประเทศอื่นๆ และเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดอินเดียและอเมริกาในปีเดียวกันนั้น ในเดือนธันวาคม 2561 ฐานผู้ใช้งานรายเดือนทั่วโลกของ TikTok เพิ่มขึ้นเป็น 271 ล้านราย ในเดือนธันวาคม 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 508 ล้านราย และในเดือนกรกฎาคม 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านราย จนกระทั่งในปี 2567 ฐานผู้ใช้งานรายเดือนทั่วโลกของ TikTok สูงถึง 1,000 ล้านราย
และนี่คือหมุดหมายสำคัญของความสำเร็จของ ByteDance และจางอีหมิง หลังจากนั้นไม่กีปี่ จางอีหมิงก็กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในจีน
Photo by AFP / CHINA OUT