'กมลา แฮร์ริส'ที่เคยถูกประเมินต่ำจะสามารถเอาชนะ'ทรัมป์'ได้หรือไม่?

'กมลา แฮร์ริส'ที่เคยถูกประเมินต่ำจะสามารถเอาชนะ'ทรัมป์'ได้หรือไม่?

เสียงโทรศัพท์ที่จะพลิกชะตาชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างของ กมลา แฮร์ริส ดังขึ้นในเช้าวันอาทิตย์ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้กำลังต่อจิ๊กซอว์ปริศนาที่บ้านกับหลานสาวของเธอ

“โทรศัพท์ดังขึ้น และเป็นโจที่โทรมา” กมลา แฮร์ริส บอกกับพิธีกรรายการวิทยุ ฮาวเวิร์ด สเติร์น เมื่อไม่นานนี้ “ฉันลุกขึ้นมาเพื่อรับสาย และแล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป”

การที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เปิดเผยว่าเขาจะถอนตัวจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2024 และสนับสนุน กมลา แฮร์ริส ให้เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต ได้จุดชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในวงการการเมืองอเมริกัน

ก่อนหน้านี้ กมลา แฮร์ริส มีคะแนนนิยมต่ำเป็นประวัติการณ์ในตำแหน่ง “รองประธานาธิบดี”

ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เธอก็เริ่มหาเสียงเลือกตั้งจากศูนย์ เธอจัดการชุมนุมหาเสียงที่น่าตื่นเต้น ระดมทุนได้มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ และนำสิ่งที่เธอเรียกว่าความสุขมาสู่พรรคที่หมดหวังแล้ว

แต่จากผลสำรวจล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าหญิงวัย 60 ปีรายนี้มีคะแนนนิยมสูสีกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน แฮร์ริสจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้สุดชีวิตเพื่อคว้าชัยชนะในวันที่ 5 พฤศจิกายน และกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ปกติแล้วคนที่จะใช้เวลาเตรียมลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนานถึงสองปี แต่เธอเพิ่งลงสมัครเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม” เดวิด แคโรล อาจารย์สอนรัฐศาสตร์และการเมืองที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ กล่าวกับเอเอฟพี

- การเปิดตัวที่ยากลำบาก -
แฮร์ริสเป็นผู้บุกเบิกตั้งแต่วินาทีที่เธอเข้าทำเนียบขาวในฐานะรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอเมริกาที่เป็นคนผิวสีและเอเชียใต้

อย่างไรก็ตาม เส้นทางนั้นพิสูจน์ให้เห็นถึงความยากลำบากในตอนแรก แฮร์ริสเผชิญกับคำวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามาว่าเธอไม่คู่ควรกับการเป็นหัวใจสำคัญของตำแหน่งประธานาธิบดี

เธอเคยถูกวิจารณ์เรื่องความคลุมเครือในนโยบายระหว่างที่เธอลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนของพรรคเพื่อชิงประธานาธิบดีซึ่งเธอล้มเหลวที่จะโค่นล้มไบเดนในปี 2019 นอกจากนี้เธอมีชื่อเสียมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับไบเดนเองในเรื่อง "การกล่าวจาไร้สาระ"

กมลา แฮร์ริส ได้รับมอบหมายจากไบเดนให้ค้นหาต้นตอของปัญหาการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอทำพลาดและปล่อยให้พรรครีพับลิกันโจมตีว่าเธอเป็น "ผู้ควบคุมชายแดน" ที่ล้มเหลว ซึ่งพวกเขายังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้

แต่สิ่งต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไปในปี 2022 แฮร์ริสเริ่มมีบทบาทเมื่อศาลฎีกาสหรัฐฯ พลิกคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ ในเรื่องสิทธิในการทำแท้งของรัฐบาลกลาง

เธอได้รวบรวมพลังจากทั่วประเทศในประเด็นนี้และมีบทบาทที่โดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในแคมเปญหาเสียงประธานาธิบดีครั้งที่สองของไบเดน ในช้วงนั้นเองที่เจ้าหน้ารัฐบาลเริ่มยอมรับกับสื่อเป็นการลับว่า กมลา แฮร์ริส กำลังเตรียมตัวสำหรับการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2028

ไบเดนยังมอบหมายให้เธอทำภารกิจทางการทูตเกี่ยวกับยูเครนและตะวันออกกลางมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่แทบไม่มีใครฝันว่าช่วงเวลาที่เธอจะได้แสดงบทบาทหลักในทำเนียบขาวจะมาถึงเร็วขนาดนี้

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแฮร์ริสถูกประเมินต่ำมาเป็นเวลานาน ทั้งจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน

ในไม่ช้าทรัมป์จะพบว่าผู้หญิงที่เขาเรียกว่า "บ้า" และถูกล้อเลียนด้วยคำเหยียดเพศและเหยียดเชื้อชาติเป็นพลังที่ต้องนับถือ ในการดีเบตครั้งเดียวของพวกเขา เธอได้เปรียบด้วยการเสียดสีอดีตประธานาธิบดีรายนี้

-เรียกเธอว่า 'โมมาลา' -
อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเชื้อชาติหรือเพศของเธออย่างเปิดเผยระหว่างการหาเสียง

เมื่อเธอพูดถึงภูมิหลังส่วนตัวของเธอ ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแม่ที่เกิดในอินเดียซึ่งเลี้ยงดูเธอและน้องสาวเพียงลำพัง ในขณะที่พ่อที่เกิดในจาเมกาแทบไม่ได้รับการกล่าวถึงเลย

หรืออาจเป็นความรักที่เธอมีต่อ "สุภาพบุรุษคนที่สอง" นั่นคือสามี ดั๊ก เอ็มฮอฟฟ์ ในที่สาธารณะ

โคลและเอ็มม่า ลูกๆ ของเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นลูกเลี้ยงของเธอ เรียกเธอว่า "โมมาลา"

เธอยังใช้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเพื่อตำหนิ เจ.ดี. แวนซ์ เพื่อนร่วมทีมของทรัมป์ ที่ก่อนหน้านี้เคยกล่าวถึงผู้นำพรรคเดโมแครตว่าเป็น "หญิงทึนทึกไร้ลูก"

แต่เป็นเรื่องธรรมดามากกว่าที่จะได้ยินเธอเน้นที่ประวัติการทำงานของเธอในฐานะอัยการและอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย และเปรียบเทียบตัวเองใสนฐานะมือกฎหมายกับทรัมป์ ซึ่งกำลังพยายามจะกลายเป็นบุคคลในทำเนียบขาวคนแรกที่ถูกตัดสินเป็นอาชญากร 

แฮร์ริสยังพูดถึงข้อเท็จจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอมีปืนไว้ในครอบครอง ขณะที่เธอพยายามเข้าหาผู้มีสิทธิเลือกตั้งของพรรครีพับลิกัน ซึ่งสนับสนุนการถือครองอาวุธปืน

อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดอ่อนที่เป็นที่ทราบกันดีอยู่เช่นกัน เธอไม่สบายใจกับสื่อ และไม่ยอมที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ระหว่างการหาเสียง ซึ่งทำให้พรรครีพับลิกันโจมตีเธอในเรื่องนี้

คำถามตอนนี้คือเธอสามารถรวบรวมจิ๊กซอว์ปริศนาเข้าด้วยกันและทำลายเพดานสูงที่สุดที่ขวางกั้นวิวัฒนาการทางการเมืองของอเมริกาได้หรือไม่ ด้วยการเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรก

"ฉันคิดว่าเธอหาเสียงได้ดี และถ้าเธอแพ้ บางคนจะพูดว่า 'โอ้ นั่นเพราะเธอหาเสียงได้ไม่ดี' และฉันคิดว่านั่นไม่ถูกต้อง" คาร์โรลกล่าว

Agence France-Presse
Photo by ANGELA WEISS / AFP

TAGS: #เลือกตั้งสหรัฐ2024