การที่โดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้ง อาจทำให้ความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อและการว่างงานโดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองต้องลดน้อยลงไป
เฟดได้รับมอบหมายจากรัฐสภาให้ดำเนินการอย่างอิสระเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งภาวะเงินเฟ้อและการว่างงาน โดยหลักแล้วคือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดอัตราดอกเบี้ย
สิ่งใดก็ตามที่บ่อนทำลายความเป็นอิสระของเฟดอาจทำให้ผู้ค้าในตลาดการเงินเกิดความหวาดกลัว และอาจเริ่มตั้งคำถามว่าเฟดสามารถจัดการกับภาวะเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่
เดวิด วิลค็อกซ์ นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (PIIE) กล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่า "ทัศนะที่แพร่หลายในวงกว้างในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นในช่วงการบริหารงานของทรัมป์ชุดแรก คือ การให้อำนาจเฟดในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างกว้างขวางที่สุดเป็นวิธีที่ดีที่สุด"
“นโยบายการเงินมีความซับซ้อนมากพออยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีการพิจารณา (แทรกแซง) เพิ่มเติมอีกก็ตาม” วิล ค็อกซ์ อดีตที่ปรึกษาอาวุโสของประธานเฟด 3 คน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจสหรัฐของ Bloom กล่าวเสริม
- “สัญชาตญาณที่ดีกว่า” ของทรัมป์? -
ระบบธนาคารกลางสหรัฐประกอบด้วยเครือข่ายแบบกระจายอำนาจของธนาคารสำรองระดับภูมิภาค 12 แห่ง และคณะผู้ว่าการ 7 คนในกรุงวอชิงตัน
ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นผู้เสนอชื่อผู้ว่าการเฟดสาขาต่างๆ ให้ดำรงตำแหน่งคราวละ 14 ปี และต้องได้รับการยืนยันจากวุฒิสภา
ประธานและรองประธานเฟดได้รับการแต่งตั้งจากบรรดาผู้ว่าการทั้ง 7 คน และเมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว ไม่สามารถถอดถอนโดยไม่มีเหตุผลได้
คณะผู้ว่าการเฟดยังมีบทบาทในการอนุมัติการเสนอชื่อเพื่อบริหารธนาคารสำรองระดับภูมิภาค 12 แห่ง
อย่างไรก็ตาม การเสนอชื่อดังกล่าวทำโดยผู้อำนวยการของธนาคารสำรองระดับภูมิภาคเอง ซึ่งช่วยเพิ่มชั้นการป้องกันการแทรกแซงจากรัฐบาลส่วนกลางมากเกินไป
แต่ในอนาคต ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อเฟดได้ และมีแนวโน้มสูงที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเลือกผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ
เจอโรม พาวเวลล์มีกำหนดจะลาออกจากตำแหน่งประธานเฟดในเดือนพฤษภาคม 2026 และคาดว่าทรัมป์จะไม่เสนอชื่อเขาใหม่
ทรัมป์ ซึ่งเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นผู้วิจารณ์พาวเวลล์อย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้เสนอชื่อให้พาวเวลล์ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก โดยทรัมป์กล่าวหาว่าพาวเวลล์สนับสนุนพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐาน และครั้งหนึ่งยังเคยตั้งคำถามว่าจริงๆ แลวพาวเวลล์เป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่กว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนหรือเปล่า
ประธานาธิบดีคนใหม่ยังกล่าวอีกว่าเขามี "สัญชาตญาณที่ดีกว่า" ในเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าผู้ว่าการเฟดหลายคน และโต้แย้งว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ควร "มีสิทธิ" ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย "อย่างน้อย"
แต่เมื่อพาวเวลล์ลาออกจากตำแหน่งประธานเฟด เขาจะยังคงดำรงตำแหน่งผู้ว่าการจนถึงปี 2028 หากเขาเลือกที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป ซึ่งจะทำให้กระบวนการเสนอชื่อของเขาซับซ้อนยิ่งขึ้น
หากจะหาคนมาแทนที่เขาด้วยคนที่ไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการในปัจจุบัน ทรัมป์จะต้องกดดันให้ผู้ว่าการคนปัจจุบันลาออก หรือไม่ก็ต้องหาคนมาแทนที่เอเดรียนา คูเกลอร์ ผู้ว่าการเฟดที่จะหมดวาระในเดือนมกราคม 2026 จากนั้นจึงเสนอชื่อผู้ที่จะเข้ามาแทนเธอให้ดำรงตำแหน่งสูงสุด
- 'อิทธิพลที่มากเกินไป' -
เมื่อพิจารณาจากข้อกล่าวหาเรื่อง 'อิทธิพลที่มากเกินไป' ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Nationwide อย่างแคธี่ บอสจันซิช กล่าวกับ AFP ถึงเรื่องนี้ว่า หัวหน้าเฟดคนต่อไปที่ได้รับการแต่งตั้งโดยทรัมป์ "อาจเปลี่ยนแปลงพลวัตและความเป็นอิสระของนโยบายการเงิน"
เธอกล่าวว่า "หากมีการเสนอชื่อและแต่งตั้งใครสักคน และเห็นว่ามีความโน้มเอียงทางการเมือง และอนุญาตให้พวกเขามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินได้ นั่นจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับธนาคารกลางสหรัฐ"
แม้ว่าพรรครีพับลิกันของทรัมป์จะกลับมาควบคุมวุฒิสภาอีกครั้ง ประธานเฟดคนต่อไปก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด สตีฟ อิงแลนเดอร์ หัวหน้ากลยุทธ์มหภาคอเมริกาเหนือของ Standard Chartered กล่าวกับ AFP
“ไม่ใช่ว่าคุณจะเลือกชื่อใครก็ได้แล้วส่งเขาไปที่วุฒิสภา เขาจะได้รับการรับรองในวันถัดไป และเขาจะถูกโหวตในวันถัดไป” เขากล่าว
วุฒิสมาชิก “ให้ความสำคัญกับบทบาทของตนมาก” เขากล่าวเสริม
ตลาดพันธบัตรยังมีมาตรการรับรองในขั้นสุดท้ายอีกด้วย ซึ่งตลาดจะคำนึงถึงความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นอย่างไรในอนาคต และส่งผลกระทบต่ออัตราการกู้ยืมเงินในทุกสิ่งตั้งแต่สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปจนถึงสินเชื่อซื้อรถ
“คุณไม่สามารถแต่งตั้งใครให้แตกต่างไปจากกระแสหลัก 180 องศาได้...เพราะตลาดพันธบัตรจะปฏิเสธทันที” อิงแลนเดอร์กล่าว
“ตลาดพันธบัตรเป็นแนวขวางกั้น” เขากล่าวเสริม “มันมีขีดจำกัด”
Agence France-Presse
Photo - เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงระหว่างการแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำวันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2024 ที่อาคารวิลเลียม แมคเชสนีย์ มาร์ติน จูเนียร์ คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2024 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่สนใจความไม่แน่นอนทางการเมืองในกรุงวอชิงตัน และเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25 จุดในวันพฤหัสบดี โดยผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง (ภาพโดย ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)