สำนักข่าว NPR สัมภาษณ์ชาวจีนที่ชื่อ เฉิง วัย 46 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งในจีนที่ผลิตโคมไฟเพื่อส่งออก โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก เขากำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในปี 2018 ทำให้สินค้าของเฉิงหลายรายการก็ถูกเรียกเก็บภาษี 25%
คราวนี้ เมื่อทรัมป์เตรียมจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สอง เขาเคยสัญญาว่าจะเรียกเก็บภาษี 60% หรือมากกว่านั้นกับสินค้าทุกชนิดที่ผลิตในจีน เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและการจ้างงานของสหรัฐฯ
แต่เฉิงกลับยักไหล่ เพราะย้อนกลับไปในปี 2019 เขาได้ย้ายการผลิตบางส่วนไปที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บ และเฉิงยังเผยว่าผู้ผลิตอื่นๆ จำนวนมากในธุรกิจนี้ในประเทศจีนก็ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
“ภาษีนำเข้า 60% จะผลักดันให้เราต้องเพิ่มการลงทุนในโรงงานต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยในกรณีของผม” เฉิงกล่าวกับ NPR ที่โรงงานของเขาในเมืองฝอซานทางตอนใต้ของประเทศจีน
เขายังบอกว่าด้วยว่า ไม่ว่าเขาจะส่งออกผ่านจีนซึ่งจะทำให้ต้องเพิ่มต้นทุนจากภาษีนำเข้าให้กับราคาสำหรับผู้บริโภค หรือส่งออกผ่านไทย ซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาสูงขึ้น แต่สุดท้ายแล้วต้นทุนจะตกเป็นภาระของลูกค้าในสหรัฐฯ
ด้านสำนักข่าว rfi รายงานในประเด็นเดียวกันว่า ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมใน ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย กล่าวว่าพวกเขาได้เริ่มเตรียมที่ดินและโรงงานเพื่อรองรับผู้ผลิตเหล่านี้จากจีน และการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ควบคุมห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์ใหม่เหล่านี้จะช่วยเพิ่มการจ้างงานในท้องถิ่น ทำให้ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมเหล่านี้ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับประโยชน์
จากการรายงานของ Reuters ที่อ้างเจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่าทรัมป์จะยังคง "โจมตี" การส่งออกของจีนต่อไป และคาดว่าจำนวนบริษัทจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตอุตสาหกรรมขนาด 150 ตารางกิโลเมตรในสี่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
rfi ชี้ว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเฟื่องฟูได้ดึงดูดการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์จีนมากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์
ทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by Alex OGLE / AFP