ทุกวันนี้ Mixue (มี่เสวี่ย) เป็นแบรนด์เชนไอศกรีมและเครื่องดื่มจากจีน ที่คุ้นหูและคุ้นตาคนไทยไปแล้ว ด้วยสาขาให้บริการที่เริ่มพบได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
ณ ตัวเลขปี 2023 พบว่า Mixue ร้านมากกว่า 36,000 แห่งในจีน จึงเป็นแบรนด์เครื่องดื่มเชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในแง่ของจำนวนร้านค้า อยู่ในอันดับที่ห้าในจำนวนเครือร้านอาหารทั่วโลก รองจาก Starbucks ซึ่งมีร้านค้ามากกว่า 38,000 แห่ง
แต่รู้หรือไม่ว่ากว่าจะมีวันนี้ของ Mixue ผู้ก่อตั้งบริษัทไม่ได้เริ่มต้นจากเส้นทางที่สวยหรู แต่สร้างมันขึ้นมาจากชีวิตติดศูนย์
ผู้ก่อตั้ง Mixue คือชายที่ชื่อ 'จางหงเชา' (张红超)
เชื่อหรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง จางหงเชาเคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่มีรายได้เดือนละแค่หลักไม่กี่สิบหยวน แต่เมื่ออายุ 44 ปี เขากลับมีเงินถึง 20,000 ล้านหยวน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจนเอามากๆ ในเมืองซ่างชิว มณฑลเหอหนาน พ่อแม่ของเขาทำอาชีพเกษตรกรรม และเพราะความยากแค้นทำให้จางหงเชาในวัยเด็กไม่อยากเรียนหนังสือต่ออีกแล้ว แต่ต้องการมาทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับพ่อแม่ของเา
ดังนั้นเขาจึงเลิกเรียนก่อนจะจบมัธยมต้นเพื่อจะช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่เขามีความคิดไม่เหมือนพ่อกับแม่ที่ทำงานแบบเดิมไปเรื่อยๆ ส่วนเขาคิดที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
แต่ปรากฏว่าพ่อแม่คัดค้านเขาอย่างหนัก เพราะอย่าว่าแต่เอาเงินที่ไหนไปลงทุนทำธุรกิจเลย แม้แต่หาเลี้ยงชีวิตไปวันๆ ยังแทบทำไม่ได้
จางหงเชาไม่เลิกความคิดนั้น แต่เขาเพียงแค่ต้องรอทุนและรอโอกาส ในระหว่างนี้เขาจึงไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟไปก่อนเพื่อหารายได้และเพื่อใช้จังหวะของการได้พบคนที่หลากหลายในร้านอาหารเพื่อต่อยอดโอกาสในชีวิตต่อไป
จางหงเฉาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟพักหนึ่งและในที่สุดก็เก็บเงินได้หลายร้อยหยวน ในเวลานั้น เขาได้ยินนักธุรกิจที่ร่ำรวยสองคนพูดคุยกันว่าอุตสาหกรรมการเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงกำลังทำกำไรได้ดี ดังนั้นเขาจึงลาออกจากงานแล้วหาซื้อนกกระทามาเลี้ยงหลายตัว แต่เพราะขาดประสบการณ์ นกกระทาเกือบทั้งหมดจึงตายเพราะโรคระบาด
นี่คือความล้มเหลวครั้งแรกในฐานะผู้ประกอบการ แต่ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จสำหรับคนที่มีความหวังอยู่เสมอ และจางหงเทาก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เสียด้วย
เพราะเขาไม่เชื่อว่าการทำธุรกิจของเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงลุยต่อด้วยแนวทางเดิม ด้วยการหันมาเลี้ยงกระต่าย ปลูกมันเทศ และแม้แต่ซ่อมจักรยานก็ยังทำ อย่างไรก็ตาม เขาสูญเสียเงินทั้งหมดเนื่องจากขาดประสบการณ์
มาถึงตอนนี้ คนทั้งหมู่บ้านมองว่าเขาเป็นตัวตลกไปซะแล้ว
ในเมื่อบ้านเกิดไม่มีความเมตตาให้ เขาจึงเลือกที่จะเดินทางออกจากที่นั่น ไปหาโอกาสใหม่ที่เมืองเจิ้งโจว
ใครจะไปรู้ว่าที่แห่งนี้คือ'ฮวงจุ้ย'แห่งความสำเร็จของเขาอย่างแท้จริง!
หลังจากเดินทางมาถึงเมืองเจิ้งโจว จางหงเชายังคงประสบปัญหาในการหางานทำเนื่องจากเขามีการศึกษาต่ำ และนี่เองที่เขาตระหนักถึงปัญหา นั่นคือ ถ้าปราศจากความรู้ก็จะไม่มีความก้าวหน้าในชีวิต ดังนั้นแทนที่จะลุยต่อแบบไม่มีเป้าหมายไปเรื่อยๆ เขาก็ตัดสินใจเรียนต่อภาคศึกษาผู้ใหญ่
แต่เขาก็ไม่ได้เรียนอย่างเดียว ยังเดินหน้าทำงานไปเรื่อยๆ ด้วย
เผอิญว่าเมื่อถึงฤดูร้อนหนึ่งซึ่งตามปกติแล้วหน้าร้อนในมณฑลเหอหนานจะร้อนเป็นพิเศษ ในขณะที่ผู้คนแทบละลายเพราะไอแดด จางหงเชาเกิดความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง เขาจำได้ว่าเขาชอบน้ำแข็งไสเมื่อเขาอยู่ที่บ้านเกิด แต่ที่นี่ไม่มีร้านขายน้ำแข็งไสมากนัก ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะเปิดร้านน้ำแข็งไสขายที่เจิ้งโจวซะเลย
แต่การทำธุรกิจต้องอาศัยทุน เป็นอีกครั้งที่เขาเจอทางตันเพราะทุนไม่มี แถมคนในครอบครัวก็ยังไม่ยอมช่วยเลยสักคน แต่สวรรค์ยังมีตา เพราะในบ้านนั้นยังคุณย่าของเขาเหลืออยู่หนึ่งคนที่ยอมสนับสนุนให้เขาเริ่มต้นธุรกิจอีกครั้ง และให้เงิน 3,000 หยวนเพื่อเปิดร้านเล็กๆ ขายน้ำแข็งไส
เงิน 3,000 ในยุคนั้นไม่ใช่น้อยๆ เมื่อได้รับเงินมาเขาก็รับไปฝากไว้ที่ธนาคาร แต่จางหงเชาถึงกับกังวลจนประหม่าจนกระทั่งเหงื่อออกเปียกเงินที่ถือมา เจ้าหน้าที่ธนาคารจึงถามเขาว่า “ทำไมเงินของคุณถึงเปียกแบบนี้?”
แต่ร้านนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยอดขายไม่พอเลี้ยงตัวเอง ประเด็นสำคัญคือร้านนี้ขาดสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ แถมยังตั้งอยู่ในย่านที่มีคนวัยกลางคนและคนสูงวัยอยู่มาก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่ชอบกินของเย็นๆ
การไม่ชอบกินของเย็นๆ ยังเป็นเรื่องปกติของคนจีนจนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีทางเปลี่ยน นี่คือโจทย์ใหญ่ที่จางหงเชาจะต้องตีให้แตก
ทางออกเฉพาะหน้าก็คือ ต้องไปตั้งร้านในแหล่งที่มีลูกค้าพร้อมที่จะซื้อสินค้าของเขา นั่นคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดังนั้นเขาจึงย้ายร้านไปตั้งใกล้ๆ กับวิทยาลัย ปรากฏว่าร้านนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากบรรดาคนหนุ่มคนสาว
ในเวลาเดียวกัน จางหงเชาก็พัฒนาสูตรของหวานเย็นให้มีเอกลักษณ์และที่สำคัญต้องมีราคาไม่แพงมากนัก แม้จะไม่แพงแต่ก็ทำรายได้มากพอดู
แต่พอถึงจุดแล้ว อุปสรรคออีกหนึ่งอย่างก็เกิดขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว นั่นคือหุ้นส่วนที่เป็นเพื่อนกันเริ่มคิดที่จะฮุบรายได้ทั้งหมด ทำให้ทั้งสองคนต้องแยกทางกันเดิน
ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นจุดอับในชีวิต มีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของเขา นั่นคือ จางหงฝู่ (张红甫) น้องชายของเขาเอง ซึ่งเดินทางมาจากเมืองไคฟงเพื่อช่วยพี่ชาย ทั้งคู่จึงจับมือกันสร้างร้านของสองพี่น้อง และตั้งชื่อว่า 'มี่เสวี่ย ปิงเฉิง' (蜜雪冰城) หรือ 'เมืองน้ำแข็งมี่เสวี่ย'ในปี 1999
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ขยายกิจการให้รองรับทุกฤดูกาล แทนที่จะเน้นขายย้ำแข็งไสตอนหน้าร้อน ก็หันมาขายของหวาน เครื่องดื่ม และอาหารอื่นๆ ที่จะขายได้ตลอดปี และใช้สถานที่ที่กว้างขวางใหญ่โตมากขึ้น
หลังจากนั้น 'มี่เสวี่ย ปิงเฉิง' หรือ Mixue ก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการพัฒนาไอศกรีมของตนเองขึ้นมา ซึ่งในตอนแรกไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะการทำไอศกรีมในตอนนั้นมรีต้นทุนสูง แต่จางหงเชาศึกษาด้วยตัวเองและพัฒนาไอศกรีมสูตรของตัวเองที่ต้นทุนต่ำลง
เมื่อเปิดตัวครั้งแรก ไอศกรีม Mixue มีราคาเปิดตัวเพียงแค่ 2 หยวน แต่เท่านั้นยังไม่พอถ้าหากลูกค้ามีคูปองส่วนลด ไอศกรีมหนึ่งถ้วยก็จะมีราคาเพียง 1 หยวนเท่านั้น นี่คือจุดเริ่มต้นของความนิยมในไอศกรีม Mixue
ทุกวันนี้ สินค้าที่ได้รับความนิยมขอ Mixue ได้แก่ ไอศกรีมราคา 2 หยวน น้ำมะนาวราคา 4 หยวน และชาไข่มุกราคา 6 หยวน เมื่อเทียบกับ Starbucks และ Heytea ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกลางเครื่องดื่มหนึ่งแก้วมีราคา 20 หรือ 30 หยวน
และนี่คือยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัท 'มี่เสวี่ย ปิงเฉิง' นั่นคือต้องทำราคาให้ต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้า ราคาที่ต่ำกว่าอาจทำให้กำไรไม่มากนัก แต่จะทำให้รายได้กลับมาเข้าบริษัทได้เร็วกว่าเดิม
ดังนั้นผู้คนจึงเรียกแนวทางของ Mixue ว่าเป็น 'Pinduoduo แห่งเครื่องดื่มเย็น' ซึงหมายความว่า Mixue เน้นที่ตลาดที่มีกำลังซื้อต่ำแต่พร้อมจะซื้อของถูก เหมือนกับลูกค้าของแพลตฟอร์ม Pinduoduo (เจ้าของเดียวกับ Temu)
นี่คือเส้นทางความสำเร็จที่ไม่ง่ายของผู้ชายที่ชือ จางหงเชา ซึ่งในเวลานี้หากจะเรียกเขาว่าเป็น 'เจ้าแห่งไอศกรีม' ก็คงไม่ผิดนัด
ทีมข่าวต่างประเทศ The Better