'คนตื่นธรรม' เวอร์ชั่นอเมริกันกับภารกิจพลิกโลก "ลัทธิตาสว่างจงพินาศ!" 

'คนตื่นธรรม' เวอร์ชั่นอเมริกันกับภารกิจพลิกโลก

ก่อนน้านี้ ผมเขียนบทความเรื่อง "'ระบอบกษัตริย์' สักวันหนึ่งอาจจะเข้ามาแทนที่ระบอบ'ประธานาธิบดีสหรัฐ'" เพื่ออธิบายการก่อตัวของแนวคิดต่อต้านระบอบสาธารณรัฐแบบเดิมในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแบ่งอำนาจปกครองหลายส่วน และเน้นการถ่วงดุล และกระจายอำนาจ 

แต่พวก 'อนุรักษ์นิยมใหม่' หรือ 'นีโอคอน'  บอกว่าระบอบนี้มันขึ้นสนิมเสียแล้ว และควรแทนที่ด้วยการรวบอำนาจของประธานาธิบดีที่มีบารมีประหนึ่ง "กษัตริย์ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา" พวกที่มีแนวคิดแบบนี้เรียกตัวเองว่า Dark Enlightenment และมีอิทธิพลต่อแนวคิดของ เจดี แวนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

แล้วอะไรคือปรัชญาเบื้องหลัง โดนนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ? 

แนวคิดและขบวนการที่อยู่เบื้องหลังทรัมป์ คือ ขบวนการ Project 2025 ขบวนการนี้นำโดยองค์การอนุรักษ์นิยมที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองของสหรัฐฯ คือ The Heritage Foundation

แนวคิดหลักๆ ของ Project 2025 แทบไม่ต่างจากพวก Dark Enlightenment ผิดกันก็ตรงที่พวก Project 2025 ไม่ได้ต้องเลยเถิดถึงขนาดต้องการให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจขนาด "กษัตริย์ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา" 

เพียงแต่ต้องการให้รวบอำนาจส่วนใหญ่มาอยู่ในมือของประธานาธิบดี ลดทอนระบบการถ่วงดุลอำนาจ ลดขนาดระบบราชการที่ถูกมองว่ารับใช้พวกรัฐซ้อนรัฐ (Deep state) ทำการไล่ข้าราชการส่วนใหญ่ออกไป แล้วแทนที่ด้วยกลุ่มคนที่ภักดีต่อประธานาธิบดีและพรรคพวก 

โดยรวมแล้วพวก Project 2025 กับ Dark Enlightenment เกือบจะเหมือนกันทุกอย่าง นั่นคือ อำนาจต้องอยู่ในมือประธาธิบดีเบ็ดเสร็จขึ้น ในแง่นนี้ผู้นำสหรัฐฯ จะแทบไม่ต่างอะไรกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน (สีจิ้นผิง) และเลขาธิการพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ (คิมจองอึน)

แต่เรื่องนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับการล้าง 'ค่านิยมเสรีนิยม' แทนที่ด้วย 'ค่านิยมอนุรักษ์นิยม'

การเปลี่ยนโครงสร้างรัฐบาลเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วถ้ามีอำนาจ แต่คำถามก็คืออำนาจนั้นจะอยู่ยืดได้แค่ไหน? เพื่อแก้ปัญหานี้พวกนีโอคอนจึงต้องล้างค่านิยมที่กำลังครอบงำสังคมอเมริกันให้หมดสิ้น เพราะในทัศนะของพวกนีโอคอนค่านิยมพวกนี้ไม่ใช่แค่ทำลาย 'ความเป็นอเมริกัน' แต่ยังจะทำให้รัฐใหม่ที่สร้างขึ้นมีอายสั้นเกินไปด้วย 

พวกคอนเซอร์เวทีฟเป็นปฏิปักษ์กับพวกลิเบอรัลมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ในแง่กระแสสังคมแล้ว คนอเมริกันเริ่มหันเข้าหาแนวคิดลิเบอรัลมากขึ้น ทั้งเรื่องเสรีภาพทางเพศ อความเท่าเทียมกันทางเพศ การส่งเสริมสิทธิสตรี การกวาดกล้างการเหยียดเชื้อชาติ การยอมรับความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงแนวคิด 'สากลนิยม' แบบฝ่ายซ้ายที่มองว่าโลกไม่มีพรมแดน และควรจะเปิดประเทศรับคนนอกเข้ามามากๆ 

ดังนั้นพวกฝ่ายขวาจึงเชื่อว่าพวกลิเบอรัล หรือพวก Woke คือขบวนการอีแอบของพวกที่เรียกว่า Cultural Marxism นั่นคือพวกนักวิชากา  รฝ่ายซ้ายที่ล้างสมองสังคมเพื่อให้ช่วยล้มล้างค่านิยมเก่าแก่และรื้อถอนโครงสร้างสังคมเดิมให้พินาศเพื่อสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียม

พวกอนุรักษ์นิยมเฝ้าดูและยอมอ่อนข้อให้มานานหลายสิบปี จนกระทั่งทศวรรษที่ 1990 ก็เริ่มโต้กลับ เพราะทันไม่ไหวกับสิ่งที่เรัยกว่า Political Correctness นั่นคือ ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่คิดและทำจะไป 'หมิ่น' ใครเข้าให้หรือเปล่า เช่น กลัวว่าจะไปเหยียดเชื้อชาติไม่รู้ตัว หรือกลัวว่าจะมุกตลกจะเหยียดผู้หญิงเกินไป  

สังคมที่ถูก Political Correctness ล้อมไว้ทุกทางก็เริ่มอึดอัด ในช่วงนั้นมีนักคิดบางคนเริ่มเรียกสังคมอเมริกันว่าเป็น New Dark Age (ยุคมืดใหม่) เพราะค่านิยมดั้งเดิมถูกทอดทิ้ง ผู้นำในสังคม (คนขาวและยึดมั่นในศาสนา) ถูกด้อยค่า ส่วนคนชายขอบ (พวกผิวสีอื่นและรสนิยมทางเพศที่หลากหลาย) กำลังมีอำนาจ

ในขณะที่มันคือยุคมืดของพวกอุนรักษ์นิยม แต่มันคือยุคทองของพวก Woke หรือลัทธิตาสว่าง ซึ่งหมายถึงการตื่นรู้และตาสว่างจากการถูกกดขี่โดยพวกอนุรักษ์นิยม 

อาจกล่าวได้ว่ายุคของบารัค โอบามา คือยุคทองของ Woke แต่มันยิ่งบีบให้พวกอนุรักษ์นิยมอึดอัดจนกระทั่งเมื่อทรัมป์ได้รับชัยชนะ การต่อต้าน Woke และการเกิดใหม่ของอนุรักษ์นิยมเป็นนีโอคอนก็เกิดขึ้นและรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง 

แต่แล้วพวก Woke ก็ทำสงครามกับพวกนีโอคอนหนักขึ้นไปอีก จนกระทั่งได้ผู้นำที่เข้าข้างพวกตัวเองคือโจ ไบเดน แต่ก็เหมือนยุคของโอบามา มันยิ่งทำให้พวกนีโอคอนมีปฏิกริยาต่อต้านหนักขึ้นไปอีก  

เมื่อทรัมป์กลับมาอีกครั้ง การสวนกลับของพวกนีโอคอนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จนกระทั่งต้องการโค่นล้ม Woke ให้หมดพลัง จำต้องทำการกวาดล้างโครงสร้างอำนาจรัฐที่คอยสนับสนุน Woke เช่น การตั้งเป้าที่จะยกเลิกกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเพราะอำนวยความสะดวกให้คนอพยพเข้ามาในประเทศ และการยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการเพราะช่วยเหลือพวก Woke ในการกระจายแนวคิดที่ขัดต่อ "ค่านิยมอันดีในสังคม"

ในกรณีของการยกเลิกกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เป็นไปเพื่อสนองต่อทฤษฎีสมคบคิดในหมู่พวกนีโอคอนที่เชื่อว่าพวกลิเบอรัลต้องการให้ผู้อพยพต่างด้าวเข้ามามากๆ เพื่อสวมสิทธิ์เลือกตั้งและหากได้เป็นคนอเมริกันก็จะคอยสนับสนุนพวกตนต่อไป แถมสหรัฐฯ จะยังเป็นประเทศที่หลากหลาย ไม่ใช่ประเทศของของคนอีกต่อไป

ส่วนการยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการ มีเหตุมาจากพวกนีโอคอนไม่พอใจที่รัฐบาลสอนเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งขัดต่อคำสอนของคริสตศาสนา และยังสอนแนวคิดเรื่อง 
Critical race theory คือการสอนให้เยาวชนตระหนักเรื่องควาามเท่าเทียมเรื่องเชื้อชาติ แต่พวกคนขาวมองว่าแนวคิดนี้ด้อยค่าคนผิวขาว และยังไม่พอใจที่กระทรวงฯ เชิญพวกหลากหลายทางเพศไปทำกิจกรรมกับเด็กๆ จนกลัวกันว่าเด็กๆ อาจเบี่ยงเบนทางเพศ

การทำลายสองกระทรวงนี้สะท้อนการทำสงครามทำลายล้างพวก Woke ได้เป็นอย่างดี 

เมื่อทำลาย Woke ก็แทนที่ค่านิยมคริสเตียนไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างสังคมที่ผู้คนตื่นตัวในธรรมแห่งพระเจ้าและเคารพในค่านิยมคริสเตียนที่เป็นรากฐาน 'อเมริกันแท้' ดังนี้ 

• สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ต้องหยุดไม่ให้สถาบันให้ทุนวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดของตัวอ่อน (เพราะการฆ่าตัวอ่อนที่เป็นคนขัดหลักศาสนา) 

• รัฐบาลต้องยกเลิกการทำแท้งเสรี ยกเลิกการคุ้มครองยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน และดำเนินคดีกับผู้ที่ส่งและรับยาคุมกำเนิดและยาทำแท้ง (เพราะขัดหลักศาสนาเหมือนข้อแรก) 

• เสนอให้ทำให้สื่อลามกเป็นสิ่งผิดกฎหมายและจำคุกผู้ผลิต (เพราะขัดกับหลักสำรวมกายใจทางศาสนา) 

• ยกเลิกการคุ้มครองทางกฎหมายต่อการเลือกปฏิบัติตามรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ (เพราะการแปลงเพศเป็นเรื่องอุจาดทางศาสนา) 

• ยุติโครงการความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมเป็นหนึ่ง หรือ DEI แต่จะให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินคดีกับ "การเหยียดเชื้อชาติคนผิวขาว" แทน (เพราะคนขาวคือผู้ที่พระเจ้าเลือกมาให้ปกครอง) 

เราจะเห็นว่า Project 2025 เน้นการทำลายสิทธิสตรีเป็นพิเศษ (รวมถึงพวกข้ามเพศด้วย) เพราะเชื่อว่าพวกนี้บันทอนอำนาจของสังคมชายเป็นใหญ่ อันเป็นสังคมในอุดมคติตามหลักศาสนา เนื่องจาก "ผู้หญิงเกิดจากซี่โครงของผู้ชาย"

ดังนั้น เมื่อผู้หญิงประกาศว่า My body, my choice (ร่างกายของเรา เราเลือกเอง นั่นตคือ เลือกที่จะทำแท้งได้ตามใจ) พวกนีโอคอนชายแท้ก็ป่าวร้องว่า Your body, my choice' (ร่างกายของคุณ แต่เราเป็นผู้เลือกให้)

Project 2025 มีเป้าหมายที่ลงลึกไปถึงรากฐานสังคมขนาดนี้ 

เมื่อพิจารณาดูแล้วพวก Dark Enlightenment ยังไม่ถึงขั้นทำลายค่านิยมขนาดนั้น  เพราะต้องการแค่เปลี่ยนประธาธิบดีเป็นระบอบราชาธิปไตย แต่ถึงที่สุดแล้วพวกนี้ก็ตอบสนองอุดมการณ์ของกันและกัน เพราะสิ่งที่พวกนีโอคอนต้องการไม่ใช่ 'ผู้นำทางโลก' แต่เป็น 'ผู้นำด้วยธรรม' หรือ Theocracy

ที่จริงแล้ว Theocracy หมายถึงการปกครอง (cracy) โดยพระเจ้า (Theo) หรือบุคคลผู้อยู่่ในธรรมแห่งศาสนา เดิมนั้นหมายถึงการปกครองที่ชี้นำโดยกฎหมายศาสนา เช่น ในสังคมชาวยิว ต่อมายังหมายถึงดินแดนที่ปกครองโดยคนในวงการศาสนา เช่น การปกครองของศาสนจักรต่างๆ ไปจนถึงการปกครองของทิเบตที่มีพระลามะทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำศาสนาและผู้นำทางโลก

หรือแม้แต่อิหร่านในปัจจุบันที่ปกครองโดยผู้นำศาสนาที่ชี้นำการเมืองก็เป็นระบอบ Theocracy จากแง่นี้ ดูเหมือนว่าพวกนีโอคนอเมริกันไม่ใช่แค่อยากจะเป็นเหมือนจีนกับเกาหลีเหนือ แต่ยังอยากเป็นแบบอิหร่านด้วย 

หรือว่านี่จะเป็นการวิวัฒนาการไปสู่สภาวะเผด็จการเหมือนกับประเทศปรปักษ์เพื่อที่จะแข็งแกร่งจนสามารถกำจัดปรปักษ์ในท้ายที่สุเ?

พวกนีโอคอนอเมริกันต้องการให้ประเทศปกครองโดย Theocracy เหมือนกัน แต่ดีไซน์ระบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองให้พวกอีลีทที่เคร่งศาสนาเป็นผู้กุมอำนาจตลอดกาลและตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่เข้าโบสถ์เป็นอาจิณ ประธานาธิบดีที่แขวนไม้กางเขนไว้ในห้องทำงาน ไปจนถึงนักเทศน์ที่สนใจกิจการบ้านเมือง 

ที่โรงเรียนจะต้องแขวนบัญญัติสิบประการ สั่งให้นักเรียนสวดภาวนา เลิกสอนวิทยาศาสตร์ที่ขัดกับศาสนา และต้องมีพระคัมภีร์ในโรงเรียน เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แผนการ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในหลาๆย 'รัฐสีแดง' หรืหรัฐอนุรักษ์นิยม

คนพวกนี้คือ 'คนตื่นธรรม' ในอุดมคติของพวกนีโอคอน ซึ่งจะทำทุกอย่างที่ Project 2025 กำหนดไว้ 

และยังจะเป็นผู้นำประเภท 'ธรรมิกราช' (Divine right of kings) ที่ได้รับเลือกมาโดยประชาชนที่ต้องการผู้นำที่เคร่งศาสนา เชื่อในพระเจ้า และถือว่าได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าผ่านสาธุชนเหล่านี้ มีอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เป็นเผด็จการผู้ประเสริฐ คือ นำทางประเทศด้วยหลักคำสอนทางศาสนา เหมือนที่พวก Dark Enlightenment ต้องการ 

ถ้านึกไม่ ออกลองอ่านนิยายหรือดูซีรีส์เรื่องเดียวกันที่ชื่อ The Handmaid's Tale ซึ่งจินตนาการยุคที่สหรัฐฯ ปกครองโดยพวกคนตื่นธรรมเหล่านี้ ส่วนผู้หญิงมีสถานะไม่ต่างอะไรกับทาสรับใช้

โดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better 
 

TAGS: #DarkEnlightenment