ตอนนี้ประเทศไทยกำลังถูกท้าทายรอบด้านกันเลยทีเดียว นานมาแล้วที่ผมไม่เคยเห็นเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเหิมเกริมกับไทยแบบนี้
ตอนนี้ กัมพูชามีกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลฟ้องศาลโลก เพื่อแย่งชิงเกาะกูดจากไทย ส่วนรัฐบาลเขมรก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะใจหนึ่งอยากจะเจรจา MOU 44 กับไทยเต็มที แต่มาเจอฝ่ายค้านเร่งรัดให้ฟ้องไทยไปเลย ไม่ต้องเจรจา
ในเวลาเดียวกัน กองทัพว้า ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่เคยมี "เชื่อเสีย" เรื่องผลิตยาเสพติดให้มันทะลักเข้าไทย แล้วตอนนี้เลี้ยงพวก "จีนเทา" เอาไว้ ซึ่งเป็นภัยต่อบ้านเมืองเราสองต่อ กลับสร้างฐานล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย เมือไทย "ขอร้อง" ให้ย้านฐาน ก็ยังไม่ขยับ
ล่าสุด คือกองทัพเรือเมียนมายิงกราดเรือประมงของไทย จนมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย เจ็ยอีกจำนวนหนึ่ง และจับตัวไปอีกจำนวนหนึ่ง มีรายงานว่า กรณีนี้เมียนมาล้ำเข้ามาในเขตน่านน้ำไทยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะไม่ล้ำส่วนเราล้ำเข้าไป การยิงคนตายถือว่าทำเกินว่าเหตุ
สถานการณ์มันร้ายแรงถึงขนาดนี้แล้ว
ครั้งสุดท้ายที่จำได้ คือ ตอนรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นกองทัพไทยต้องไปรบกับกองทัพว้าและปะทะกับเมียนมาด้วย แถมยังเจอเจอกัมพูชาเผาสถานทูตไทยที่พนมเปญด้วย
ตอนนี้เป็น "รัฐบาลลูกทักษิณ" ที่มั่นใจว่า "สนิทกับเพื่อนบ้าน" ทั้งสองฝั่ง แต่ไหงกลายเป็นว่าทั้งสองฝั่งกำลัลง "หยุมหัว" เรากับแบบนี้?
รัฐบาลควรจะทบทวนแล้วล่ะครับว่า เขาเกรงใจเรา หรือเราเกรงใจเขากันแน่?
หรือว่าเขาเห็นนายกฯ ของเราเป็นผู้หญิงและวัยวุฒิยังไม่มากก็เลยคิดว่าคง "ไม่กล้า" ท่านนายกฯ ของเราก็ควรจะแสดงความกล้าบางอย่างให้เขาเห็นสักทีว่า "ผู้นำหญิงจากระบอบประชาธิปไตย" นั้นก็แกร่งกว่า "เผด็จการชาย" ของเพื่อนบ้านเหมือนกัน
ส่วนกองทัพไทยทุกหมู่เหล่า ผมเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะทำเป็นตัวทูต แต่มีหน้าที่ใช้กำลังลูกเดียว ท่านเจรจาได้ แต่ไม่ควรอ่อนข้อแบบพลเรือน เช่น ถ้ามีใครล้ำแผ่นดินหรือน่านน้ำเข้ามา ก็ควร "สั่งสอน" ด้วย "พระเดช" ไม่ใช่เล่นระนาดไม้นวมกันอยู่แบบนี้
แล้วเพื่อนบ้านที่ไหนมันจะเกรงใจเรา
ผมยกตัวอย่างเช่น การปล่อยให้กัมพูชาซ้อมรบแถวๆ เกาะกง ซึ่งเดิมเป็นแผ่นดินของไทยและยังอยู่ใกล้เกาะกูดกับน่านน้ำที่เป็นกรณีพิพาทกัน ถ้ากองทัพได้รับรู้เรื่องนี้แล้วยังเฉย นั่นแสดงว่ายอมให้เขา "เหยียบตีน" เราง่ายๆ
หรือถ้ารัฐบาลรู้แล้วทำเป็นตาบอดข้างเดียว ผมขอเตือนว่าเรี่องนี้อาจทำให้พี่น้องคนไทยไม่พอใจ เพราะหลายคนเขาเริ่มตั้งคำถามแล้วว่า "รัฐบาลยอมให้เพื่อนบ้านขนาดนี้เพราะอะไรกันแน่?"
และยังปรามาสกองทัพว่า "เอาแต่รับกับประชาชน" แต่ "รบกับใครเขาไม่เป็น" ซึ่งผมได้ฟังแล้วเจ็บใจแทน เพราะส่วนตัสแล้วไม่ชอบให้ใครมาว่าทหารหาญของเรา
การปล่อยให้ว้าบุกเข้ามานานเป็นสิบปีโดยไม่ทำอะไร แล้วบอกว่าการปักปันเขตแดนยังไม่ชัด ผมเชื่อว่าเรื่องนี้แสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพที่สุด เพราะถึงเมียนมาจะมีปัญหาสงครามกลางเมือง แต่เราควรทราบว่าดินแดนของพวกว้านั้นรัฐบาลเมียนมาคุมไม่ได้ ถ้ากองทัพเมียนมาล้ำเข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่พวกว้านั้นถือเป็นกองกำลังนอกสารบบรัฐ
หากกองทัพเถื่อนแบบนี้ล้ำเข้ามาขนาดนี้ ท่านคิดว่าท่านควรคุยดีๆ แบบโกษาปาน หรือควรใช้ปืนใหญ่แบบโกษาเหล็ก? พิจารณาเอาก็แล้วกันครับ
ผมไม่ได้เรียกร้องให้ทำสงครามกัน แต่เพื่อนบ้านไม่ได้สติปัญญาดีๆ เหมือนไทยที่มองเพื่อนบ้านด้วยสายตาเป็นมิตร ส่วนเพื่อนบ้านมองไทยเป็นศัตรู แถมแต่ละประเทศแต่ละรัฐยังทำตัวป่าเถื่อนล้าหลัง
ไทยเราเป็น "ประเทศใหญ่" นั่นคือเจริญทั้งเศรษฐกิจและการพัฒนา และยังมีศิวิไลซ์ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนกัมพูชาและเมียนมารวมถึงชนกลุ่มน้อยต่างๆ รอบเราๆ ล้วนแต่ต้องมาขอพึ่งใบบุญเรา โดยทำงานในบ้านเมืองเรา แล้วส่งเงินกลับบ้าน
เงินที่คนชาติเหล่านี้ส่งกลับไป ได้กลายเป็นเงินภาษีเลี้ยงนักการเมืองที่ชั่วร้ายที่มุ่งร้ายกับไทย และกลายเป็นภาษีให้เผด็จการทหารไปซื้อาวุธมาทำร้ายคนไทย
รัฐบาลเหล่านี้ไม่ได้สำนึกในความมีน้ำใจของเรา ตรงกันข้ามกลับต้องการดินแดนของเรา และยังเข่าฆ่าคนของเรา แบบนี้เราควรเจรจาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนหรือ?
ผมเกรงว่า ตอนนี้เรตติ้งของรัฐบาลตกต่ำลงมา เพราะความล้าช้าในการดำเนินนโยบายหลายๆ อย่าง แต่ที่เลวร้ายที่สุด ท่านคงไม่ทราบว่า พี่น้องชาวไทยเขาไม่พอใจที่ท่านยอมให้เพื่อนบ้านเหยียบตีนประเทศไทย
ยังไม่นับการที่ผู้มีอำนาจบางคนในไทยมีผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มติดอาวุธบางกลุ่มแถวๆ ชายแดน ทำการค้ายา ค้าไม้ ค้าของเถื่อนมาหลายสิบปี แล้วล่าสุดยังคอยเลี้ยงพวกจีนเทาเอาไว้เพื่อทำลายคนไทยด้วยกัน
ผมคิดว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองท่านก็รู้ดีครับว่า จะทำอย่างไรให้คนไทยรักท่านมากขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะทำหรือเปล่า ก็แค่นั้น
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - กองทัพไทยเฝ้าระวังจากรถหุ้มเกราะริมแม่น้ำเมย ฝั่งไทย ข้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ 2 ในอำเภอแม่สอด ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567 โฆษกกองทัพไทยกล่าว โดยยืนยันรายงานจากกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ต่อสู้กับกองทัพมาหลายวันแล้ว (ภาพโดย Manan VATSYAYANA / AFP)