ความสนใจใน "กองกำลังว้า" ในหมู่คนไทยเพิ่มขึ้นมาอย่างมากในช่วงนี้ เพราะกรณีการรุกล้ำดินแดนไทยของกองกำลังว้า จนทำให้กองทัพไทยนื่นคำขาดให้ถอนกำลัไปจากพื้นที่ที่ล้ำเข้ามาภายในหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม กองทัพว้ากลับโบ้ยให้ไทยไปเจรจากับกองทัพเมียนมาโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของดินแดนตัวจริง ทั้งๆ ที่ความขัดแย้งในเมียนมานั้งไม่มีใครเป็เจ้าของดินแดนใดๆ ตัวจริง เพราะยังอยู่ในระหว่างสงครามกลางเมืองที่มีการแย่งชิงและเสียดินแดนระหว่างกันอย่างไม่หยุดหย่อน
ก่อนอื่น เราต้องความเข้าใจก่อนว่า "กองกำลังว้า" คือผู้ควบคุมดินแดนของ "ว้า" สองแห่ง คือ "ว้าตอนเหนือ" ซึ่งมีพรมแดนติดกับจีน และ "ว้าตอนใต้" ซึ่งมีดินแดนติดกับไทยบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ การปกครองดินแดนเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น "รัฐว้า" ในทางพฤตินัย แต่ในทางปฏิบัติยังเป็น "เขตปกครองตนเองว้า" ภายในเขตของรัฐฉาน แห่งสหภาพเมียนมา
"รัฐว้า" บริหารโดยหน่วยงานสองหน่วย คือ พรรคผสมรัฐว้า (UWSP) ซึ่งเป็นใายการเมือง ทำหน้าบริหารดินแดน ส่วนหน่วยงานด้านอาวุธของ UWSP คือ กองทัพผสมรัฐว้า (UWSA) ทั้งสองหน่วยงานนี้มีประธานพรรคและผู้บัญชาการ คือ เป้าโหย่วเสียง
เป้าโหย่วเสียง (鲍有祥) เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันของรัฐบาลประชาชนรัฐว้า เลขาธิการพรรคผสมรัฐว้า และผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพผสมรัฐว้า เขาเป็นคนชาติพันธุ์ว้ามาแต่กำเนิดเ มีชื่อแบบชาวว้า แต่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อภาษาจีนว่า เป้าโหย่วเสียง เหมือนกับชาวว้าอีกมากมายที่หันมาใช้ภาษาจีนในการติดต่อสื่อสาร ใช้เงินหยวนของจีน และรับชาวจีนเข้ามาทำธุรกิจในดินแดนของตน จนดูเหมือนว่า "รัฐว้า" กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนไปแล้ว
เป้าโหย่วเสียง เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2492 ในตระกูลหัวหน้าเผ่าว้า บางข้อมูลระบุว่าเขาเกินที่เมืองคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ในวัยเยาว์หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นเกษตรกร ใช้ชีวิตตามอัตภาพคนชาติพันธุ์ในดินแดนภูเขาของรัฐฉานของเมียนมา
แม้จะอยู่อย่างคนชนบท แต่เป้าโหย่วเสียงมีแววชอบเรื่องบู๊ๆ ตั้งแต่เด็ก เขามักเล่นปืนผาหน้าไม้ ถึงขนาดเคยซื้อปืนใหญ่ทำมามาเล่นกับเพื่อนจนปืนระเบิด แต่ก็ไม่ทำให้เขาหวาดกลัวลงเลย เพราะธรรมชาติของเป้าโหย่วเสียงเป็นคนกล้าหาญตั้งแต่ยังเด็ก
มีครั้งหนึ่ง เขาเอาลาของทางบ้านไปพนันเอาเงินแต่เสียนพนัน เมื่อถูกพ่อจับได้ก็ลงโทษอย่างหนัก เมื่อถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้นเขาก็ตอบว่า "ผมอยากได้เงินจากการพนันมาซื้อปืน เพราะปืนจะสามารถป้องกันพวกเราและหมู่บ้านของพวกเราได้ ไม่ต้องถูกข่มเหงจากพวกโจรคนชั่ว"
ในเวลานั้น สภาพการณ์ของการเมืองโลกตรงกันข้ามกับภาวะสันติ ในเมียนมาเองก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นแทบจะในทันทีที่ได่รับเอกราชจากอังกฤษ ส่วนจีนที่อยู่ติดกัน ก็ติดพันสงครามกลางเมืองระหว่างจีนคณะชาติ หรือพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งในเวลาต่อมาไม่นานก็จบลงด้วยชันะของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้กองทัพก๊กมินตั๋งส่วนหนึ่งในมณฑลยูนนานที่ติดกับเมียนมา ต้องอพยพหนีเข้ามาในเมียนมาแลบ่งส่วนหนีเข้ามาในดินแดนของไทย
ชีวิตของตระกูลเป้าตกอยู่ในอันตรายทันทีจากพวกก๊กมินตั๋ง
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2502 ครอบครัวเป้าถูกกองทัพก๊กมินตั๋งที่นำโดยชิวหงไจ ปล้นทรัพย์อย่างกะทันหัน เป้าซิ่งกา (鲍兴嘎) บิดาของเป้าโหย่วเสียงถูกตามล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และครอบครัวทั้งหมดจึงหนีไปที่ประเทศจีนเพื่อหลบภัยและย้ายไปที่หมู่บ้านเหยียนปิ่ง อำเภอชังหยวน มณฑลยูนนาน ในเดือนกันยายนของปีนั้น เป้าโหย่วเสียงเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมเหยียนปิ่ง และครูในท้องถิ่นได้ตั้งชื่อภาษจีนให้เขาว่า "โหย่วเสียง" ที่แปลว่า "มีวาสนา"
จนกระทั่ง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2504 ครอบครัวเป้าทั้งหมดย้ายกลับมาที่เมืองคุนหม่า (昆马 เมืองของรัฐว้าตอนเหนือติดกับชายแดนจีน) และใน พ.ศ. 2507 เป้าโหย่วเสียงแต่งงาน และในเดือนเมษายนของปีนั้น เป้าซิ่งกา บิดาของเขาเสียชีวิต
ดูเหมือนว่าเมื่อกลับมาว่าเมืองว้า เป้าโหย่วเสียงและครอบครัวจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ ตแมันไม่ใช่เลย พวกเขาต้องอยู่ท่ามกลางการชิงอำนาจของชนเผ่าต่างๆ ในขณะที่สถานการณ์ในเมียนมาและในจีนก็ร้อนแรงไม่แพ้กันจากการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนและสงครามกลางเมืองในเมียนมาที่คุกรุ่นกว่าเดิม
ในปี พ.ศ. 2509 เมื่อไม่สามารถทนต่อการกดขี่ของกองกำลังติดอาวุธชนเผ่าหัวรุนแรงของพรรคก๊กมินตั๋งที่นำโดยชิงหงไจ ได้เป้าโหย่วเสียงจึงเริ่มจัดตั้งองค์กรต่อต้านอย่างลับๆ ร่วมกับลูกพี่ลูกน้องของเขา คือ เป้าซานป่าน และคนบ้านเดียวกันที่ร่วมจตนารมณ์เดียวกันคือ เว่ยนีเหมิน และ หลี่หลิวเล่อ เข้าร่วมขบวนการ
พวกเขามีปืนแค่ 3 กระบอกกับมีดอีกหลายด้าม ส่วนกำลังคนนั้นแทบไม่ต้องเทียบกับฝ่ายตรงข้าม เพราะน้อยกว่าอย่างมาก แต่เป้าโหย่วเสียตั้งใจที่จะโจมตีแบบบสายฟ้าแลบเพื่ไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน ปรากฏว่าการโจมตีในครั้งนั้นฝ่ายของเป้าโหย่วเสียงได้รับชัยชนะอย่างเหลือเชื่อ และยังปลึกระดมมวลชนให้เข้าร่วมขบวนการได้อีกมาก
ในเวลานั้น เป้าโหย่วเสียงมีอายุแค่ 17 ปี แต่มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างรวดเร็วในฐานะผู้นำกองกำลังที่กล้าหาญ
ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 กองพลกองโจรคุนหม่า ได้ถูกจัดตั้งขึ้น และเป้าโหย่วเสียงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการกองพลกองโจร โดยมีหน้าที่หลักในการจัดองค์กรติดอาวุธและการบังคับบัญชาทางทหาร ในเดือนพฤศจิกายน เขาพาทีมไปยังตำบลเสวี่ยหลิน อำเภอปกครองตนเองหลันชังลาหู่ มณฑลยูนาน ประเทศจีนเพื่อฝึกทหาร และกลับมายังฐานทัพที่เมืองคุนหม่าของรัฐว้าในอีกครึ่งเดือนต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการนำกองพลกองโจรคุนหม่าเข้าร่มกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและอยู่ภายใต้การนำของพรรคในเดือนกันยายน พ.ศ. 2512 โดยได้รับการจัดระเบียบใหม่เป็นหน่วยกองทัพประชาชน 4043 (ต่อมาคือกองพัน 4243) โดยมีเป้าโหย่วเสียงเป็นผู้บังคับบัญชาของกองร้อย
ความจริงแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์พม่ามีความเป็นกองกำลัง "ชาติพันธุ์พม่า" ค่อนข้างสูง เมื่อชายหนุ่มชาวว้าเข้ามาร่วมขบวนการด้วย จึงมักจะเจออุปสรรคด้านเชื้อชาติ
ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ทำให้เป้าโหย่วเสียงกลายเป็น "ว้าแดง" และกองทัพของเขาก็ถูกเรัยกว่า "ว้าแดง" เช่นกัน เขาค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาในกองทัพประชาชนและพรรคคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2528 เป้าโหย่วเสียงได้รับเลือกเป็นสมาชิกสำรองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์พม่า นับว่าในตอนนี้เขามีท้งอำนาจทางการและอำนาจการเมืองในระดับหนึ่งแล้ว
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง เกิดขึ้นเมื่อเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2532 เป้าโหย่วเสียง และจ้าวนีไล (赵尼来 นักรบชาวว้าอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในพรรคฯ และต่อมาจะมีส่วนก่อตั้ง UWSA) ได้จัดตั้งและนำการลุกฮือด้วยอาวุธเพื่อต่อต้านการนำที่ผิดพลาดของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า พวกเขาทำการก่อตั้ง UWSA และมีเป้าโหย่วเสียงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ
ในเวลาอีกไม่นานหลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์เมียนมาก็จะเสื่อมอิทธิพลลง จนกระทั่งไม่ใช่ผู้เช่นตัวหลักในการชิงอำนาจในภูมิภาครัฐฉาน
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม กองทัพ UWSA ได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบของรัฐ (SLORC) ซึ่งเป็นคณะรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาเข้ามาแทนที่ระบอบทหารของเนวินภายหลังการลุกฮือ 8888 หลังจากการหยุดยิง รัฐบาลเมียนมาเริ่มเรียกภูมิภาคนี้ว่า "เขตพิเศษรัฐฉานหมายเลข 2 (ภูมิภาคว้า)" ซึงถือเป็นการให้ความสำคัญกับ UWSA ในฐานะพันธมิตรสำคัญ
บารมีของเป้าโหย่วเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เป้าโหย่วเสียง ได้เข้าร่วมการประชุมกองทัพ UWSA กองทัพพันธมิตรโกกั้ง กองทัพพันธมิตรฉานตะวันออก กองทัพประชาธิปไตยใหม่คะฉิ่น และการประชุมแนวร่วม SPP ที่จัดขึ้นในเขตโกกั้ง หลังจากดำเนินการสถาปนากองกำลังพันธมิตรอย่างเป็นทางการแล้ว เป้าโหย่วเสียงก็ได้การแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
ในช่วงทศวรรษ 1990 ด้วยความร่วมมือกับกองทัพเมียนมา รัฐว้าสามารถได้ยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของรัฐฉานด้วยกำลังมาได้ ซึ่งแต่เดิมเป็นพื้นที่ของขุนส่า ผู้ผลิตยาเสพติดชื่อก้องโลก แต่พวกว้าก็เข้าแทนที่พวกของขุนส่าในการผลิตยาเสพติดในพื้นที่นั้นซึ่งอยู่ติดกับประเทศไทย
เพื่อทำการวางรากฐานของรัฐว้าในพื้นที่ตอนใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ถึง พ.ศ. 2545 อดีตผู้ปลูกฝิ่น 80,000 คนจากพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐว้าได้ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ที่อุดมสมบูรณ์กว่าเพื่อผลิตอาหาร มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตหลายพันคนอันเป็นผลจากการย้ายถิ่นฐาน
การเข้าชิงพื้นที่เดิมของขุนส่า ทำให้เป้าโหย่วเสียงและพลพรรคสามารถควบคุมสามเหลี่ยมทองคำอันเป็นศูนย์กลางยาเสพติดสำคัญของโลกได้ ในปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า UWSA เป็นกองกำลังสำคัญในขบวนการค้ายาเสพติดของโลก และระบุว่าเป้าโหย่วเสียงคือ "ผู้ก่อการร้าย" ในขณะที่นิตยสาร Times ขึ้นหน้าปกรูปของเป้าโหย่วเสียงและให้ฉายาเขาว่าเป็น "ราชายาเสพติด"
ในช่วงเวลานี้ รัฐว้าที่นำโดยเป้าโหย่วเสียงมีพัฒนาการที่รุดหน้าอย่างมาก มีการสร้างถนนราดยางเชื่อมต่อเมืองต่างๆ และสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ โดยรายได้สำคัญของรัฐว้ามาจากกาารค้ายาเสพติดและการทำธุรกิจสีเทา เช่น การฉ้อโกงทางอิเล็กทรนิกส์ แม้ว่าเป้าโหย่วเสียงจะทำการยุติการปลูกฝิ่นในดินแดนว้าก็ตาม แต่การผลิตยาเสพติดในรูปแบบอื่นๆ ยังดำเนินต่อไป เช่นเดียวกัน แม้ว่ารัฐว้าจะทำการกวาดล้างธุรกิจสีเทาและส่วนตัว "จีนเทา" ให้กับทางการจีน แต่ก็ยังแอบซ่อนธุรกิจเหล่านี้เอาไว้เพื่อเป็นแหล่งทุนในการพัฒนารัฐและกองทัพ
นับวัน อิทธิพลของเป้าโหย่วเสียงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กองทัพเมียนมาตกเป็นรอง เช่น หลังจากการรัฐประหารในเมียนมาร์ในปี พ.ศ. 2564 กองทัพว้าเริ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาโดยตรงมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากกลยุทธ์มาสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่มีขนาดเล็กเพื่อที่จะใช้กองกำลังเหล่านี้ในการต่อรองกับกองทัพเมียนมาไม่ให้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงกับว้าและว้ายังมีเป้าที่จะใช้กองกำลังต่อต้านเผด็จการ เพื่อขยายอิทธิพลผ่านกลุ่มเหล่านี้ในการลงไปยังดินแดน "พม่า" คือตอนกลางและเขตอำนาจรัฐของเมียนมา นี่คือเป้าหมายที่ทะเยอทะยานอย่างยิ่งของเป้าโหย่วเสียง
แต่เมื่อการสู้รบในรัฐฉานตอนเหนือทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายนในปี พ.ศ. 2566 รัฐว้ากลับแสดงจุดยืนเป็นกลางโดยเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ หยุดยิงทั้งฝ่ายกองกำลังตอนเหนืของรัฐฉาน เช่น กลุ่มสามพี่น้องที่ก่อการในเขตโกกั้งและกองทัพเมียนมา ในเวลาเดียวกัน ทุกฝ่ายก็เข้าาหารัฐว้าเพื่อให้เข้่าร่วมกับขบวนการของตน ทั้งฝ่ายต่อต้านเผด็จการและฝ่ายเผด็จการทหารเอง
จากการถ่วงดุลอย่างมีชั้นเชิง ทำให้สื่อบางแห่งประเมินเป้าโหย่วเสียงเอาไว้ค่อนข้างสูงว่า "(เป้าโหย่งเสียง) เลือกที่จะสื่อสารและร่วมมือกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งทำให้แน่ใจถึงสถานะและผลประโยชน์ของตนในความขัดแย้งทางตอนเหนือของเมียนมา ด้วยการตัดสินใจที่รอบคอบและชาญฉลาดของเขา ไม่เพียงแต่เขาได้รับการยอมรับและความสนใจทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังได้รับผลตอบแทนจากการกระทำจริงอีกด้วย เขายึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นจุดเริ่มต้น ตอบสนองความต้องการของรัฐว้า และรักษาความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพเมียนมา ทำให้รัฐว้าสามารถขยายดินแดนของตนในสมรภูมิได้อย่างต่อเนื่อง"
นี่คือความแข็งแกร่งของ เป้าโหย่งวเสียง ซึ่งเก่งกาจทั้งด้านการรบ ช่ำชองด้านการต่อรอง และสร้างรัฐว้าขึ้นมาให้เป็น "นครกลางภูเขา" ได้อย่างน่าทึ่ง
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better