เปิดจดหมาย 'สมเด็จพระศรีสวัสดิ์' ขอร้องฝรั่งเศสชิงดินแดนของไทยตั้งแต่เกาะกงไปจนถึงเมืองปากน้ำ

เปิดจดหมาย 'สมเด็จพระศรีสวัสดิ์' ขอร้องฝรั่งเศสชิงดินแดนของไทยตั้งแต่เกาะกงไปจนถึงเมืองปากน้ำ

'สมเด็จพระศรีสวัสดิ์' หรือที่ชาวกัมพูชาเรียกว่าพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์  เป็นประมุขราชอาณาจักรกัมพูชาระหว่างปี พ.ศ. 2447 - พ.ศ. 2470 ในช่วงการปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์กัมพูชายุคอาณานิคม 

แม้ว่ากัมพูชาจะเคยได้รับความช่วยเหลือจากไทยไม่ให้สิ้นชาติจากการถูกกลืนแผ่นดินและวัฒนธรรมโดยเวียดนาม และแม้กษัตริย์กัมพูชา 4 พระองค์จะเคยได้รับการอุปถัมภ์จากไทย (นักองจันทร์ นักองด้วง นักองค์ราชาวดี) โดยที่สมเด็จพระศรีสวัสดิ์เคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดบวรนิเวศ กรุงเทพมหานคร 1 พรรษา เมื่อพระชนมายุ 24 แต่สมเด็จพระศรีสวัสดิ์ได้เป็นกษัตริย์กัมพูชาภายใต้อำนาจของฝรั่งเศส ก็กลับต้องการดินแดนของไทยไปครอง โดยอ้างว่าดินแดนเหล่านี้เป็นของกัมพูชา 

หลักฐานอยู่ในจดหมายที่สมเด็จพระศรีสวัสดิ์ยื่นไปถึง Résident Supérieur หรือข้าหลวงใหญ่ของรัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงในกัมพูชส

จดหมายมีเนื้อหาดังนี้ 

สำนักพระราชวัง
พระบาทสมเด็จ พระศรีสวัสดิ์  (พร้อมพระนามตามพระสุพรรณบัตร) 
ไปถึงข้าหลวงใหญ่ประจำกัมพูชา ณ กรุมพนมเปญ แห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส 

เรียนท่านข้าหลวงใหญ่

ในขณะที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ของเรา กำลังยุ่งอยู่กับการกำหนดเขตแดนของกัมพูชากับจังหวัดกัมพูชาเดิมที่สยามยึดครอง ข้าพเจ้าถือเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะส่งข้อสังเกตและข้อสงวนต่อไปนี้ถึงท่าน และขอให้ท่านกรุณาแจ้งให้คณะกรรมการกำหนดเขตแดนซึ่งกำลังจะเริ่มทำงานทราบโดยเร็วที่สุด และขอให้ส่งข้อสังเกตและข้อสงวนเหล่านี้ไปยังรัฐบาลสาธารณรัฐ ผู้แทนของข้าพเจ้าในคณะกรรมการนี้ยังได้รับมอบหมายให้สนับสนุนข้อเรียกร้องเดียวกันนี้ต่อคณะกรรมการด้วย

1)- ในความเป็นจริงและไม่สามารถโต้แย้งได้ การที่สยามยกอดีตจังหวัดเขมรที่เพิ่งถูกผนวกเข้ากับกัมพูชา เช่น สตึงเตรง โตนเลเรปู (บริเวณหลี่ผีของลาว) มลูไพร ตราด เกาะกง ให้กับฝรั่งเศสนั้น ไม่สามารถสร้างความพอใจที่ถูกต้องให้แก่กัมพูชาได้ เนื่องจากสถานการณ์ที่สยามยึดครองดินแดนเหล่านี้ด้วยกำลังและความหน้าไหว้หลังหลอกในช่วงเวลาที่กัมพูชาอยู่ภายใต้การควบคุมของอันนัมและสยาม ในการคืนดินแดนเหล่านี้ สยามเพียงแค่สละสิ่งที่ตนเอาไปและถือครองโดยขัดต่อสิทธิของประชาชนทั้งหมด และไม่ต้องการที่จะรักษาไว้อีกต่อไปเนื่องจากการนำเข้าดินแดนเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถชดเชยต้นทุนการดำเนินงาน การบริหาร และการบำรุงรักษาได้

2) - เราเน้นย้ำถึงขอบเขตธรรมชาติโบราณของอาณาจักรเขมร ซึ่งก่อนที่สยามจะรุกราน รวมไปถึงจังหวัดพระตะบอง, เสียมเรียบ, สตึงเตรง, โตนเลเรปู, มลูไพร, ขุขันธ์ (จ.ศรีษเกษ), ไพรสาร, สตึงปอ, ซอเรน (จ.สุรินทร์), สังเกียจ (อ. สังขะ?), เซียงรอง (นางรอง หรือ จ.บุรีรัมย์?), โกเรียจเสมา (โคราช หรือ จ.นครราชสีมา), เหนือภูเขาพนมดังเร็ก, เกาะกง, ตราด, และจันทบอร์ (จันทบูร หรือ จ.จันทบุรี) ไปจนถึงปากน้ำ (จ. สมุทรปราการไปจนถึงพระนครคือบางกอก) และอาณาจักรบาสัก (จำปาสักของลาว) จังหวัดเหล่านี้ทั้งหมดยังคงมีชาวกัมพูชาอาศัยอยู่และยังคงรักษาความรักชาติเขมรไว้ได้อย่างสมบูรณ์

3)- จังหวัดที่ร่ำรวยที่สุดของกัมพูชาคือจังหวัดพระตะบองและเสียมเรียบ จังหวัดหลังยังคงมีซากปรักหักพังของเมืองหลวงอันทรงอำนาจอันเก่าแก่ของอาณาจักรของเรา ซึ่งเป็นหลักฐานที่ส่องประกายถึงความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษของเรา จังหวัดทั้งสองนี้ ไม่ต่างจากจังหวัดอื่นๆ ซึ่งไม่เคยถูกมอบให้สยามโดยบรรพบุรุษคนใดของข้าพเจ้าเลย และความต้องการของเราที่จะให้พวกเขากลับกัมพูชาก็ไม่เคยหยุดลง และจะไม่หยุดลงจนกว่าเราจะพอใจในเรื่องนี้

ข้อเรียกร้องก่อนหน้านี้มากมายของเราเป็นพยานถึงเรื่องนี้: -

โดยไม่ขึ้นอยู่กับเหตุผลทางประวัติศาสตร์ใดๆ ที่ยืนยันสิทธิของเราในสองจังหวัดนี้ สนธิสัญญาที่สรุประหว่างฝรั่งเศสและสยามเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1867 ระบุว่าสนธิสัญญาที่สรุประหว่างราชอาณาจักรกัมพูชาและสยามเมื่อเดือนธันวาคม 1863 ถือเป็นโมฆะ และสยามสละสถานะข้าราชบริพาร (หรือประเทศราช) ของกัมพูชาตลอดไป มาตรานี้จึงปลดปล่อยราชอาณาจักรเขมรให้เป็นอิสระจากสยามโดยสมบูรณ์ ซึ่งราชอาณาจักรเขมรจะฟื้นฟูบูรณภาพดินแดนทั้งหมดด้วยข้อเท็จจริงนี้ และหากนักการทูตฝรั่งเศสในสมัยนั้นตกลงกันโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับรัฐบาลกัมพูชาหรือรัฐบาลโคชินตามมาตรา 4 ของสนธิสัญญาฉบับเดียวกันเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1867 ว่าจังหวัดพระตะบองและเสียมเรียบยังคงอยู่ในสยาม พวกเขาก็ถูกหลอกโดยสยามโดยสิ้นเชิงด้วยการโน้มน้าวว่ามีสนธิสัญญาที่ชาวกัมพูชาทุกคนไม่รู้จักเลย และสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิของสยามและมูลค่าของดินแดนเหล่านี้ 

(ขึ้นย่อหน้าใหม่โดยผู้แปล) ข้าพเจ้าขอเสริมว่าเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ สนธิสัญญาที่สรุปในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1863 ระหว่างกัมพูชาและสยามนั้นไม่เคยดำรงอยู่อย่างถาวร และเป็นเรื่องยุติธรรมที่จะทำให้เราพอใจ แท้จริงแล้ว แม้เราจะรู้สึกขอบคุณรัฐบาลที่ปกป้องอย่างสุดซึ้งและจริงใจ แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการกระทำทางการทูตที่ทำลายทรัพย์สินของเราโดยที่เราไม่รู้และไม่ยินยอมนั้น จะคงอยู่ตลอดไปหรือไม่ ในทุกกรณีและไม่ว่าผลงานของคณะกรรมาธิการชุดปัจจุบันและการดำเนินการทางการทูตที่ตามมาเกี่ยวกับพรมแดนของเรากับสยามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการยกจังหวัดพระตะบองและเสียมเรียบอันเป็นที่รักของกัมพูชาและเขตปกครองทั้งหมดให้กับกัมพูชาจะเป็นอย่างไร เราขอให้เราสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับตัวเราเองและผู้สืบทอดของเราทุกคนเสมอในการอ้างสิทธิ์ของเราจนกว่าเราจะได้รับความยุติธรรมและความพอใจอย่างเต็มที่ ท่านข้าหลวงใหญ่ ข้อสังเกตและข้อสงวนดังกล่าวเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องแสดงต่อคุณ โดยรับรองกับคุณว่าสิ่งเหล่านี้แสดงถึงความรู้สึกเป็นเอกฉันท์ของรัฐบาลและประชาชนของข้าพเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

(ขึ้นย่อหน้าใหม่โดยผู้แปล) นอกเหนือจากความผูกพันอย่างยิ่งใหญ่ของเรากับจังหวัดเหล่านี้ซึ่งการกักขังโดยมิชอบนั้นทำให้ชาวกัมพูชาทุกคนเสียใจอย่างแท้จริงแล้ว ท่านก็ไม่ละเลยต่อความยากลำบากทุกประเภทที่เกิดจากการกักขังนี้ที่เพื่อนบ้านของเรากระทำต่อเราอย่างต่อเนื่องโดยการบุกรุกดินแดนของเรา การโจรกรรม การปล้นสะดม และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นทุกวันในหมู่เราโดยผู้กระทำความผิดซึ่งสามารถหลบภัยที่บ้านได้อย่างง่ายดายและไม่ถูกลงโทษ ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นความจริงและได้รับการพิสูจน์โดยรายงานของผู้อยู่อาศัยและผู้ว่าราชการจังหวัดของเรา ข้าพเจ้าคิดว่าสถานการณ์นี้ซึ่งเป็นอันตรายต่อหลักการใดๆ ของความมั่นคงสาธารณะโดยสิ้นเชิงจะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ตราบใดที่จังหวัดพระตะบองและเสียมเรียบซึ่งอยู่ติดกับกัมพูชามากที่สุดจะไม่กลับคืนสู่กัมพูชา โปรดรับคำรับรองจากท่านผู้บังคับบัญชาสูงสุดว่าข้าพเจ้าจะพิจารณาอย่างดีที่สุด

เขียนขึ้นในพระราชวังของเราในกรุงพนมเปญ เมื่อวันจันทร์ในวันแรม จุลศักราช 1268 ปีมะเมีย อัฐศก ปีที่ 3 แห่งระชกาล ซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน ปีที่ 1906 แห่งคริสต์ศักราช 

ลงนาม ศรีสวัสดิ์

จดหมายฉบับนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่ากษัตริย์กัมพูชา เมื่ออยู่ภายใต้อำนาจของฝรั่งเศส ก้พยายามใช้อิทธิพลของฝรั่งเศสแย่งชิงดินแดนของไทยมาเป็ฯของตน โดยอ้างว่าเป็นดินแดนของตนเอง โดยไม่มีหลักฐานยืนยัน (เช่น ไม่มีการจัดระเบียบการปกครองโดยกัมพูชา ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าได้ปกครองดินแดนนั้น) เพียงแต่อ้างว่ามีคนเขมรอยู่ในดินแดนนั้น (โดยไม่ระบุว่าชาวเขมรเป็นชนกลุ่มน้อยหรือไม่ หรืออาจเพียงคนชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยในถิ่นนั้นๆ เช่น ชาวกูย) 

การอ้างของสมเด็จพระศรีสวัสดิ์จึงเป็นการอ้างลอยๆ แต่เหมือนจะพยายามอ้างโดยใช้หลักการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ซึ่งอ้างว่าดินแดนนั้นๆ เป็นของประเทศตนเพราะมีคนพูดภาษาของตนอยู่ ซึ่งอย่างที่กล่าวไปก็คือ แม้จะมีคนเขมรในอีสานใต้ หรือ "เขมรบน" แต่ก็ไมได้หมายความว่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นสวามิภักดิ์ต่อ "เขมรล่าง" อย่างที่เจ้าเขมรอ้างว่า "มีชาวกัมพูชาอาศัยอยู่และยังคงรักษาความรักชาติเขมรไว้ได้อย่างสมบูรณ์"  อีกทั้งเกาะกง ตราด และจันบุรีนั้นมีคนไทยทั้งสิ่น ไปจนภถึงการอ้างปากน้ำเป็นเรื่องที่อ้างอย่างเลื่อนลอยทั้งสิ้น 

นี่คือตัวอย่างสำคัญของ "การกระหายดินแดนผู้อื่น" หรือ "อยากได้ดินแดนที่คิดว่าเป็นของตัวเอง" (Irredentism) อันเป็นพฤติกรรมที่คนเขมรไม่เคยละทิ้งไปจนกระทั่งทุกวันนี้ และเป็นอุปสรรคในการสร้างสัมพันธ์อันดีกับไทย  

บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

TAGS: #กัมพูชา #เกาะกูด.เกาะกง