1. นับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2010 ไฟป่าในแคลิฟอร์เนียเริ่มมีความอันตรายมากขึ้นเนื่องจากมีเชื้อเพลิงไม้สะสมอยู่ในป่า ทำให้เมื่อเกิดประกายไฟจึงมีการลุกลามของไฟอย่างรวดเร็ว ไฟป่าเหล่านี้อาจลุกลามหรือรุนแรงขึ้นเนื่องจากลมแรงและแห้งแล้ง ซึ่งเรียกว่าลมเดียโบลเมื่อเกิดขึ้นในส่วนเหนือของรัฐ และลมซานตาแอนาเมื่อเกิดขึ้นในส่วนใต้ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่ารุนแรงจึงมีการทำลายเชื้อเพลิงสะสมเป็นระยะด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทำการเผาแบบควบคุม (Controlled burn) โดยจะดำเนินการในช่วงเดือนที่อากาศเย็นเพื่อลดการสะสมของเชื้อเพลิงและลดโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้ที่อันตรายและร้อนกว่า อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ก็ยังไม่ช่วยลดความเสี่ยง แม้ว่า ในปี 2021 รัฐแคลิฟอร์เนียได้เพิ่มจำนวนบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมเพื่อทำการเผาแบบควบคุม และให้เจ้าของที่ดินสามารถเผาแบบควบคุมได้มากขึ้นก็ตาม
2. ดังนั้นอีกสาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยพบว่าความยาวของฤดูไฟป่าเพิ่มขึ้นเกือบ 19% ตั้งแต่ปี 1979 ถึงปี 2013 โดยฤดูไฟป่าในรัฐทางตะวันตกยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ปี 1985 พื้นที่ที่เกิดไฟป่ามากกว่า 50% ในสหรัฐอเมริกาตะวันตกเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ นอกจากนี้ เนื่องมาจากวิธีการดับไฟโดยมนุษย์บางประเภท ทำให้มีเชื้อเพลิงสะสมอยู่ในระบบนิเวศบางแห่ง ทำให้ระบบนิเวศเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ามากขึ้น โดยสรุป การศึกษามากมายพบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไฟป่าขนาดใหญ่และรุนแรงเกิดบ่อยครั้งมากขึ้นโดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้านี้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คาดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ปริมาณน้ำลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่า ลดผลผลิตทางการเกษตร และคุกคามระบบนิเวศชายฝั่ง
3. ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 1985 พื้นที่ไฟป่าที่ถูกเผาไหม้ทางตะวันตกของสหรัฐฯ มากกว่า 50๔ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ นอกเหนือจากนั้น ประชากรมากขึ้นก็มีส่วนสำคัญ เพราะชุมชนต่างๆ ได้ขยายพื้นที่เข้าไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยคุกคามจากไฟป่า โดยรวมมีประชากรมากกว่า 2.7 ล้านคนอาศัยอยู่ใน "เขตที่มีความเสี่ยงไฟไหม้รุนแรงสูงมาก" ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยด้วย นอกจากนี้ยังทำให้ประชากรกลุ่มเดียวกันนี้มีความเสี่ยงต่อความเสียหายต่อโครงสร้างและการเสียชีวิตจากไฟป่ามากขึ้น ตั้งแต่ปี 1990 จำนวนบ้านเรือนที่สูญเสียไปจากไฟป่าเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้น 300% เมื่อปี 2017 บ้านเรือนทางตะวันตกของสหรัฐฯ เกือบ 900,000 หลังอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าสูง โดยเกือบ 35% ของไฟป่าในแคลิฟอร์เนียเริ่มต้นขึ้นในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าสูงเหล่านี้
4. อีกสาเหตุมาจากสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าที่เก่าและมักได้รับการบำรุงรักษาไม่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ให้บริการโดย Pacific Gas and Electric หรือ PG&E โดยในปี 2018 และ 2019 บริษัท PG&E ตกเป็นเป้าหมายการรายงานเปิดโปงโดยสื่อเมื่อการสืบสวนของกรมป่าไม้และป้องกันอัคคีภัยของรัฐแคลิฟอร์เนีย (Cal Fire) พบว่าโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าที่รุนแรงถึง 2 ครั้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงไฟป่าแคมป์ในปี 2018 ซึ่งเป็นไฟป่าที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย แม้ว่า PG&E จะตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อป้องกันการติดไฟของต้นไม้ที่สัมผัสกับสายไฟ แต่ความเสียหายครั้งใหญ่ไดเส่งผลให้ PG&E ต้องประสบกับภาวะล้มละลายเรื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้ว หากอุณหภูมิยังคงสูงขึ้น ไฟฟ้าดับเพื่อป้องกการติดไฟของป่าอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งด้วย
ในอนาคตมันจะยิ่งกระทบต่อชีวิตผู้คน
ผู้เสียภาษีของสหรัฐอเมริกาจ่ายเงินประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อดับไฟป่า และไฟป่าขนาดใหญ่สามารถนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ บางครั้ง นอกจากไฟแล้ว ภัยจากการขาดน้ำยังรุนแรงพอๆ กัน สภาการป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ (NRDC) ประมาณการว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ระหว่างปี 2025 และ 2100 ต้นทุนการจัดหาน้ำให้กับรัฐทางตะวันตกของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจาก 200,000 ล้านดอลลาร์เป็น 950,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 0.93–1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ
แต่ที่น่ากลัวก็คือ มันจะรุนแรงยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ฤดูกาลไฟไหม้ปี 2020 ถือเป็นฤดูกาลไฟไหม้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐในแง่ของพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ โดยมีพื้นที่ถูกไฟไหม้มากกว่า 4 ล้านเอเคอร์ทั่วทั้งรัฐในไฟป่า 9,917 ครั้ง ในจำนวนไฟป่าที่ใหญ่ที่สุด 6 ครั้งที่เคยบันทึกไว้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มี 5 ครั้งเกิดขึ้นในปี 2020
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
photo - TOPSHOT - บ้านเรือนถูกไฟไหม้ระหว่างเกิดไฟไหม้ที่เมืองอีตัน ในพื้นที่อัลตาดีนาของลอสแองเจลิสเคาน์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2025 (ภาพโดย JOSH EDELSON / AFP)