.... ในปี 1993 เกิดไฟไหม้ขึ้นในชุมชนแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ บ้าน 700 หลังในชุมชนถูกไฟป่าเผาเป็นเถ้าถ่าน ที่ดิน 188,000 เอเคอร์ทั้งหมดกลายเป็นเศษซากจากเปลวไฟ มีบ้านของชาวพุทธชาวเวียดนามหลังเดียวเท่านั้นที่ปลอดภัย
"ลอสแองเจลีส ไทม์ส" เรียก "ปาฏิหาริย์"! เหตุการณ์นี้เรียกว่า laguna beach fire ปี 1993
บ้านหลังนี้เป็นของชาวเวียดนามที่ชื่อ โต บุย (To Bui) ขณะนั้นอายุ 42 ปี
ตามรายงานดูเหมือนว่าพ่อของครอบครัวนี้เป็นชาวเวียดนามและยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ ขณะกำลังสร้างบ้าน ท่านได้สวดมหากรุณาธารณี และพรมน้ำที่เสกด้วยธารณีไปรอบบ้าน
ในการให้สัมภาษณ์ทางทีวี พระภิกษุได้จำลองภาพการเดินสวดธารณีและพรมน้ำเสกจากธารณีไปรอบบ้านก่อนเกิดเพลิงไหม้ ....
นี่เป็นข้อมูลที่เผยแพร่ในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในไต้หวัน แต่กระนั้นก็ตามก็ยังมีเรื่องน่ากังขาอยู่ จึงมีการเผยแพร่ข้อมูลอีกชุดหนึ่งโดยบุคคลนิรนามที่สงสัยเรื่องนี้และทำการค้นหาความจริงด้วยตัวเอง จนได้ไปพูดคุยกับภรรยาของ โต บุย ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน (โต บุย เคยไปศึกษาที่เยอรมนีแล้วย้ายมาอยู่ที่สหรัฐฯ)
จากการพูดคุยกับภรรยาของ โต บุย ทำให้สรุปได้ว่า
1. พระสงฆ์เอเชียที่ปรากฎตัวในทีวีคือพ่อของโต บุย โดยที่โต บุยเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่นับถือศาสนาพุทธ ตามประเพณีของชาวเวียดนาม ก่อนที่พวกเขาจะสร้างบ้าน พวกเขาจะบอกกล่าว "ผีและเทพเจ้า" ในท้องถิ่นและสวดภาวนาขออนุญาตสร้างบ้าน ในวันนั้น พวกเขาจัดพิธีขึ้น และมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมพิธี ซึ่งพ่อของโต บุยจะสวดภาวนาให้บ้านในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ และยังวางหนังสือพุทธศาสนาสองเล่มไว้บนหลังคาเพื่อให้ผีและเทพเจ้าที่ต้องการอ่านหนังสือพุทธศาสนาสามารถ "อ่านหนังสือ" แน่นอน หลังจากไฟไหม้ พ่อของโต บุยก็มาที่บ้านอีกครั้งเพื่อสวดภาวนาอีก (เป็นธรรมเนียมชาวพุทธมหายานที่จะสวดพระสูตรหรือตั้งพระสูตรให้อมนุษย์ทั้งหลายได้ฟังแลัอ่านจะได้บุญกุศล)
2. ก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ ภรรยาของโต บุยได้คุยกับหมอดูชาวเวียดนาม ชายคนนั้นบอกกับเธอว่า “โอ้ บ้านของคุณอาจจะไฟไหม้ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ไม่เป็นไร บ้านของคุณคงไม่เสียหายอะไรมาก” ชายคนนี้ยังเห็นว่าเมื่อเกิดไฟไหม้ มีแสงสีขาวจำนวนมากอยู่เหนือบ้านของโต บุย ห่อหุ้มบ้านทั้งหลังเหมือนลูกบอลเพื่อปกป้องบ้าน ภรรยาของโต บุยคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ไฟไหม้ในครัว และไม่ได้สนใจมันมากนัก โดยไม่คาดคิด ไฟไหม้ใหญ่เกิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ต่อมา
นอกจากข้อสรุปจากผู้เขียน (นิรนาม) รายนี้จากการสัมภาษณ์ครอบคัวเจ้าของบ้านแล้ว ผู้เขียนยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า
1.เท่าที่ฉันทราบ ชาวเวียดนามบูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (กวนอิม) เป็นหลัก ในสมันตมุขปริวรรตระบุไว้ชัดเจนว่า "แม้ถูกเผาไฟ ไฟไม่สามารถเผาไหม้ได้" บ้านของโต บุยก็ไม่มีมลทิน และพ่อขอโต บุยก็บวชเป็นพระ ภรรยาของโต บุยเป็นคนดี และโต บุยก็ทำงานหนักในการสร้างบ้านหลังนี้ ฉันเดาว่านี่อาจเป็น "สาเหตุ" ที่ทำให้พวกเขารอดจากไฟได้ และบ้านที่รอดก็เป็น "ผล" เช่นกัน
2. ว่ากันว่าอากาศแห้งแล้งทำให้เกิดไฟไหม้ แต่ถ้าผู้มีจิตสัมผัสชาวเวียดนามสามารถเห็นไฟล่วงหน้าและครอบครัวโต บุยสามารถหนีออกมาได้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะได้รับการจัดสรรมาแล้ว!
3. สิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งคือ ฉันเดาว่าพระโพธิสัตว์กวนอิม (หรือผู้พิทักษ์ธรรม) ปกป้องบ้านของเขา แต่ไม่ได้ปกป้อง (หรือไม่อนุญาตให้) เขาใช้บ้านเพื่อแสวงหากำไร ดังนั้นบริษัทของโต บุยจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ในทางใดทางหนึ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือสิ่งนี้เพื่อหารายได้พิเศษ
แม้ว่าจะมีข้อมูลจากการสัมภาษณ์เพิ่มเติม มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ ก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุจริงๆ คืออะไรที่ทำให้บ้านหลังเดียวรอดจากหายนะมาได้อย่างน่าประหลาด แต่สำหรับชาวพุทธที่ศรัทธา เรื่องนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะเชื่อว่าเป็นบารมีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่คุ้มครองผู้สวดมหากรุณาธารณี
ดังใน “สัทธรรมปุณฑริกสูตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์สมันตมุขปริวรรต” 《妙法莲华经观世音菩萨普门品》 กล่าวว่าว่า “หากมีใครเอ่ยพระนามอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์โพธิสัตว์ แม้ถูกเผาไฟ ไฟไม่สามารถเผาไหม้ได้ เป็นเพราะพลังอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์”
'มหากรุณาธารณี' (大悲咒) คืออะไร? คือ 'มนต์' หรือที่ฝ่ายมหายานนิยมเรียกว่า 'ธารณี' ศักดิ์สิทธิ์ของพระอวโลกิเตศวร และนิยมสวดภาวนากันในหมู่พุทธศาสนิกชนในจีน เพราะมีอานุภาพมากมายมหาศาล
คำว่า 'มนตร์' (咒) และ 'ธารณี' (陀羅尼) นั้นใช้สลับกันได้ มีความหมายคล้ายคลึงกัน คือคำภาวนาเพื่อทำจิตให้ระลึกถึงบารมีแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
เมื่อจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์ ก็ย่อมได้พลังบารมีของท่านมาคุ้มครอง
พระเถระเซวียนฮว่า (宣化上人) พระภิกษุชาวจีนที่เผยแพร่พุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียที่มีชาวเอเชียอาศัยอยู่หนาแน่น ได้กล่าวถึงมหากรุณาธารณี หรือ 'มหากรุณาหฤทัยธารณี' เอาไว้ว่า
"(มหากรุณาหฤทัยธารณี) มนต์อันยิ่งใหญ่แห่งความเมตตาอันยิ่งใหญ่ทะลุฟ้าแผ่ไปทั่วสากลโลก สวดหนึ่งร้อยครั้งเป็นเวลาหนึ่งพันวัน จะยังให้พญายมราชทั้งสิบจะชื่นชมยินดี (อานิสงส์) คือความกรุณาและความเมตตาที่เยียวยาโรคทั้งหมด ในกระจกส่องกรรมของเรา (ในนรกภูมิ) จะประกาศอานิสงส์อย่างยิ่งใหญ่
เมื่อเราสวดมหากรุณาหฤทัยธารณี จะยังความสั่นสะเทือนแก่สวรรค์และโลก ขณะที่มนต์ทะลุฟ้าแผ่ไปทั่วสากลโลก หากเราท่องได้ 108 ครั้งทุกวันเป็น 1,000 วัน (ประมาณ 3 ปี) ท่องไปทุกวันโดยไม่พลาดสักวันหนึ่งไม่ว่าเราจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม พญายมราชทั้งสิบผู้กำกับดูแลนรกภูมิจะมีความยินดี
ทำไมจึงเรียกว่ามหากรุณาหฤทัยธารณี?
เพราะความกรุณาสามารถบรรเทาสรรพชีวิตจากความทุกข์และความลำบากทั้งหลาย ด้วยเหตุที่มนต์ช่วยบรรเทาความทุกข์และมอบความสุขจึงเรียกว่ามหากรุณาหฤทัยธารณี"
ดังที่ปรากฏในอานิสงส์ของ "มหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร" 《大悲心陀罗尼经》 พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ตั้งปณิธานเอาไว้ความว่า “หากมีสรรพสัตว์ที่สวดและถือทิพย์มนตร์มหากรุณาธารณี และไม่สามารถเชี่ยวชาญในฌานในสมาธิอันลึกซึ้งเกิดหยั่งชำนาญในธรรมสากัจฉาได้ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะไม่ขอบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ”
มีเหตุการณ์ประสบการณ์มากมายที่เกิดจากอนุภาพของพระธารณีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่กรณีไฟไหม่ใหญ่ที่แคลิฟอร์เนียเท่านั้น แต่มีเรื่องบันทึกอานิสงส์ของการปฏิบัติภาวนามาตั้งแต่ยุคโบราณ
เช่น สมัยราชวงศ์ถัง มีพระภิกษุรูปนึ่งชื่อว่าพระเสินจื้อ ท่านสวดมหากรุณาธารณีอยู่เป็นนิจ ใช้ธารณีนี้เสกน้ำมนต์ (เรียกว่าน้ำมหากรุณาธารณี) ช่วยเหลือผู้คนรักษาโรคนานา ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำมนต์แล้วหายจากอาการเจ็บป่วย แต่ละวันท่านเสกน้ำมนต์มากมายเหลือคณานับ ผู้คนเรียกขานท่านว่า "มหากรุณาภิกษุ"
ในยุคนั้นมี อัครมหาเสนาบดี (เทียบเท่านายกรัฐมนตรี) ชื่อว่า เผยซิว บุตรสาวถูกภูติผีสิงสู่ จึงเชิญท่านเสินจื้อมาสวดธารณี ผ่านไป7 วันบุตรสาวจึงหายจากการถูกคุกคาม อัครมหาเสนาบดีเผยซิว จึงกราบทูลฮ่องเต้ขอพระราชทานป้ายเกียรติยศถวายแก่พระเสินฮุ่ย ประกาศเกียรติคุณท่านว่า "อายุวัฒนะศักดิ์สิทธิ์แห่งรัชสมัยต้าจง" หรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ช่วยต่อชีวิตสรรพสัตว์แห่งรัชสมัยต้าจง (大中圣寿)
ไม่เพียงแต่ช่วยให้รอดพ้นภับพิบัติเท่านั้น การภาวนามหากรุณาธารณียังเป็นเครื่องผูกจิตให้แน่วแน่เป็นสมาธิ เชื่อมต่อกับจิตโพธิสัตว์ แล้วบังเกิดสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ขึ้นในตัวผู้ภาวนา
เช่น ในราชวงศ์ซ่งเหนือ ยังมีพระรูปหนึ่ง ชื่อว่าฮุ่ยไฉ มาจากเมืองหย่งเจีย มณฑลเจ้อเจียง เมื่ออายุได้ 13 ปี จึงออกบวชและไปที่ภูเขาซื่อหมิงเพื่อติดตามของเป็นศิษย์พระอาจารย์ฝ่าจื้อ ภิกษุฮุ่ยไฉนั้นไม่พอใจที่ตัวท่านเองนั้นโง่เขลาและเชื่องช้า ดังนั้นท่านจึงมักจะสวดมหากรุณาธารณีอยู่เนืองๆ อยู่มาวันหนึ่งท่านฝันเห็นพระรูปสูงหลายศอก พระรูปนั้นถอดจีวรออกแล้วห่มจีวรให้ท่าน วันรุ่งขึ้นเมื่อไปฟังพระธรรมที่ห้องบรรยาย จู่ๆ พระฮุ่ยไฉก็เกิดการรู้แจ้ง และเข้าใจธรรมทั้งปวงที่เคยได้ยินมาก่อน
เรื่องนี้บันทึกไว้ในหนังสือ "บันทึกอริยะผู้ทรงคุณธรรมแห่งสุขาวดี" 《净土圣贤录》
ยังมีบันทึกไว้ใน "ชีวประวัติภิกษุสูงส่ง ผูกที่ 3" 《高僧传三集》 ว่า พระวินยาจารย์ต้าวเซวียน บูรพาจารย์แห่งนิกายวินัย ท่านสวดมหากรุณาธารณี 108 จบใน 1 วัน ได้ฝันไปว่า มีพระพุทธะพระโพธิสัตว์เปลื้องจีวรมาคลุมให้กับท่าน บังเกิดแสงเรืองรองระยิบระยับ
มหากรุณาธารณีนั้นมีหลายฉบับเนื่องจากต้องแปลจากตันฉบับสันสกฤตออกมาเป็นการเทียบเทียงภาษาจีน ในที่นี้จะขออัญเชิญมหากรุณาธารณีฉบับของพระอโมฆะมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่ทุกท่าน
พระอโมฆะ (不空) หรือ อโมฆวัชระ (不空金刚) เป็นพระภิกษุชาวศรีลังกา เกิด ค.ศ. 705-มรณะค.ศ. 774 (หรือประมาณ 1,300 ปีก่อน) ท่านเดินทางมามาเผยแพร่พุทธศาสนาแบบมนตรยานในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ถัง ท่านได้แปลคัมภีร์เรื่องพุทธมนต์มากมาย กับทั้งถ่ายทอดวิชามนตรยานให้กับสาธุชนบนแผ่นดินจีน ซึ่งต่อมาจะไปเจริญรุ่งเรืองในประเทศญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในผลงานของท่านคือการแปล "มหากรุณาธารณี" อันเป็นมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพระอวโลกิเตศวร และนิยมสวดภาวนากันในหมู่พุทธศาสนิกชนในจีน เพราะมีอานุภาพมากมายมหาศาล
มหากรุณาธารณีฉบับพระอโมฆวัชระ เรียกว่า "มหากรุณาธารณี 84 วลี" (八十四句大悲咒) พบที่วัดฮาเซะเดระ (長谷寺) เมืองนาระ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวัดในนิกายมนตรยาน และต้นฉบับงานเขียนของพระอโมฆวัชระที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎกศิลาแห่งฝางซาน 《房山石經本》เป็นต้น
ต้นฉบับนี้ปรากฏในสารบบพระไตรปิฎกภาษาจีนฉบับไทโช รหัสที่ T20n1113B ชื่อคัมภีร์ว่า 《大慈大悲救苦觀世音自在王菩薩廣大圓滿無礙自在青頸大悲心陀羅尼 第1卷》
ชื่อมนต์อันยาวนี้มีความหมายว่า "พระอวโลกิเตศวร ราชาแห่งโพธิสัตว์ มหากรุณา มหาเมตตา ผู้กอบกู้ให้รอดจากทุกข์เข็ญ มหาไพบูลย์ สมบูรณ์พร้อม ไร้ซึ่งสิ่งขวางกั้น เป็นอิสระ ผู้มีลำคอสีนิล (คือดื่มยาพิษจนคอดำ อันหมายรับทุกข์แทนปวงสรรพสัตว์) มนต์หัวใจแห่งมหากรุณาธารณี"
เนื้อความของธารณีมีดังนี้
【คำอ่าน】
นะโม รัตนะ-ตระยายะ นะมะ อารยาวะโลกิเตศวะรายะ โพธิสัตวายะ มะหาสัตวายะ มะหาการุณิกายะ
โอม สรรวะ-ภะเยษุ ธะนะ ทัสยะ นะโมสกฤตะ อีโม อารยาพะรุกิเตศวะรัม ธะวะ นะโม นะระกิธิ เหริมะ วะธะษะเม สรรวะ-อะถะทุ ศุตุม อะเชยัม สรรวะ-ภุตะนะมะ วะคะ มะ วะ ทุทุ
ตัทยะถา โอม อะวะโลกะ โลกาเต กะระเต เอ หฤเอ มะหาโพธิสัตวะ สรรวะ มะละ มะมะ หฤเอทะยัม กุรุ กรรมัม ธุรุ วะชะยะเต มะหาวะชะยะเต ธะระ ธิริณิ-รายะ จะละ-จะละ มะมะ วะมะระ-สุกเต เล เอเห-เอเห จินทะ อรรษัม ประจะลิ วะษะ-วะษัม ประศะยะ หุรุ มะระ หุรุ หริ สะระ สิริ สุรุ โพธิยะ โพธะยะ ไมตริยะ นะระกินทิ ธรรษิณินะ ปะษะ มะนะ สวาหา สิทธายะ สวาหา มะหาสิทธายะ สวาหา สิทธะ-โยเคศวะกะรายะ สวาหา นะระกินทิ สวาหา มะระนะระ สวาหา สิระสังหะ-มุขายะ สวาหา ปะมะหา-สิทธายะ สวาหา จะกระ-สิทธายะ สวาหา ปัทมะ-กัสตายะ สวาหา นะระกินทิ-วะคะระยะ สวาหา มะวะริ-ศันกะยะ สวาหา
นะโม รัตนะ-ตระยายะ นะมะ อารยาวะโลกิเตศวะรายะ โพธิ สวาหา
【ต้นฉบับ】
นโม รตฺน-ตฺรยาย นม อารฺยาวโลกิเตศฺวราย โพธิสตฺวาย มหาสตฺวาย มหาการุณิกาย
โอํ สรฺว-ภเยษุ ธน ทสฺย นโมสฺกฤต อีโม อารฺยาพรุกิเตศฺวรํ ธว นโม นรกิธิ เหริม วธษเม สรฺว-อถทุ ศุตุํ อเชยํ สรฺว-ภุตนม วค ม ว ทุทุ
ตทฺยถา โอํ อวโลก โลกาเต กรเต เอ หฤเอ มหาโพธิสตฺว สรฺว มล มม หฤเอทยํ กุรุ กรฺมํ ธุรุ วชยเต มหาวชยเต ธร ธิริณิ-ราย จล-จล มม วมร-สุกฺเต เล เอเห-เอเห จินฺท อรฺษมฺ ปฺรจลิ วษ-วษํ ปฺรศย หุรุ มร หุรุ หฺริ สร สิริ สุรุ โพธิย โพธย ไมตฺริย นรกินฺทิ ธรฺษิณิน ปษ มน สฺวาหา สิทฺธาย สฺวาหา มหาสิทฺธาย สฺวาหา สิทฺธ-โยเคศฺวกราย สฺวาหา นรกินฺทิ สฺวาหา มรนร สฺวาหา สิรสํห-มุขาย สฺวาหา ปมหา-สิทฺธาย สฺวาหา จกฺร-สิทฺธาย สฺวาหา ปทฺม-กสฺตาย สฺวาหา นรกินฺทิ-วครย สฺวาหา มวริ-ศนฺกย สฺวาหา
นโม รตฺน-ตฺรยาย นม อารฺยาวโลกิเตศฺวราย โพธิ สฺวาหา
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better