โครงการเนรเทศครั้งใหญ่ การยุติ "ความบ้าคลั่งของคนข้ามเพศ" "ขุดน้ำมัน ขุดน้ำมัน ขุดน้ำมัน" และสันติภาพสำหรับยูเครน นี่คือสิ่งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คนใหม่ได้ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าอย่างเต็มที่และรวดเร็วเมื่อเขากลับเข้าทำเนียบขาวในวันจันทร์
ต่อไปนี้คือคำมั่นสัญญาที่สร้างความฮือฮาแต่สร้างคลุมเครืออย่างมากของทรัมป์ในวันที่เขาจะรับตำแหน่งวาระที่สอง ซึ่งคำมั่นสัญญาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะประกาศออกมาในรูปของคำสั่งประธานาธิบดี อันเป็นอำนาจเด็ดขาดที่เขาจะใช้อย่างเต็มที่ตั้งแต่วันแรก
การไล่ผู้อพยพออกไป
ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะยืนหยัดอย่างแข็งกร้าวต่อผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารประมาณ 11 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา
"เมื่อผมได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง เราจะเริ่ม... ปฏิบัติการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา" มหาเศรษฐีจากพรรครีพับลิกันกล่าวระหว่างการหาเสียง
เขายังให้คำมั่นว่าจะยุติการให้สัญชาติโดยกำเนิด โดยเรียกมันว่า "ไร้สาระ"
เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถปลดล็อกทรัพยากรของกระทรวงกลาโหมได้
นักวิเคราะห์ยังคาดว่าเขาจะออกคำสั่งฝ่ายบริหารเกี่ยวกับนโยบายการย้ายถิ่นฐานในด้านอื่นๆ ซึ่งอาจรวมถึงการยุติการใช้แอปที่ผู้อพยพที่หวังจะยื่นคำร้องขอสถานะผู้ลี้ภัยใช้
อย่างไรก็ตาม สิทธิพลเมืองโดยกำเนิดได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และโครงการการเนรเทศใดๆ ก็ตามจะต้องเผชิญกับการท้าทายทางกฎหมาย รวมถึงการปฏิเสธที่อาจเกิดขึ้นจากบางประเทศในการยอมรับผู้ถูกเนรเทศ
สงครามการค้าจะมีไหม?
ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ในอัตรา 25% เพื่อลงโทษในสิ่งที่เขากล่าวว่าเป็นความล้มเหลวในการหยุดยั้งการไหลบ่าเข้ามาของยาเสพติดและผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารเข้าสู่สหรัฐฯ
แต่ทรัมป์พร้อมจริงหรือที่จะเปิดฉากสงครามการค้ากับเพื่อนบ้านของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือขาดสะบั้นลง บางคนมองว่านี่เป็นการขู่กรรโชกก่อนการเจรจา และทรัมป์ยังมีข้อเสนอแนะที่ยั่วยุยิ่งกว่านั้นว่าแคนาดาควรถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งสหรัฐฯ อีกด้วย
รัฐบาลจีนก็น่าจะเตรียมรับมือด้วย
ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน 10% ซึ่งเพิ่มภาษีที่มีอยู่ตั้งแต่สมัยแรกของเขา ทรัมป์กล่าวหาจีนว่าอนุญาตให้ใช้ส่วนประกอบทางเคมีที่ใช้ทำเฟนทานิล
อภัยโทษกรณี 6 มกราคม?
ประธานาธิบดีคนใหม่ได้เสนอว่าเขาอาจอภัยโทษผู้คนบางส่วนหรือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เมื่อผู้สนับสนุนของเขาพยายามโค่นล้มการเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งเขาแพ้ให้กับโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
ทรัมป์ได้กล่าวถึงคนเหล่านี้ว่าเป็น "ตัวประกัน" และ "นักโทษการเมือง" และกล่าวว่าเขาจะ "อภัยโทษครั้งใหญ่" ในความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะแยกแยะกรณีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไร
มีผู้ถูกตั้งข้อหาในคดีอาญาของรัฐบาลกลางมากกว่า 1,500 รายในเหตุโจมตีครั้งร้ายแรงนี้ และมีผู้ถูกตัดสินโทษไปแล้วมากกว่า 1,100 ราย
สงครามและการทูต
ทรัมป์เตือนว่า "จะเกิดหายนะขึ้นในตะวันออกกลาง" หากฮามาสไม่ปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่ง และทันทีที่ประกาศข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกันที่เจรจากันโดยรัฐบาลไบเดนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าเขาตั้งใจจะยุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนโดยเร็ว แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นเมื่อใดหรืออย่างไร
หลังจากเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ทรัมป์สัญญาว่าจะยุติความขัดแย้งที่กินเวลานานเกือบสามปี "ภายใน 24 ชั่วโมง" ล่าสุด ทรัมป์เสนอกรอบเวลาหลายเดือน
วิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ทรัมป์ซึ่งเป็นผู้ไม่เชื่อเรื่องสภาพภูมิอากาศได้ให้คำมั่นว่าจะ "ขุดน้ำมัน ขุดน้ำมัน ขุดน้ำมัน" เพื่อหาแหล่งน้ำมันและก๊าซ
เขาวางแผนที่จะยกเลิกนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่สำคัญบางส่วนของไบเดน เช่น เครดิตภาษีสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีไว้เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
ทรัมป์ยังต้องการกระตุ้นการขุดเจาะนอกชายฝั่ง แม้ว่าเขาอาจต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาเพื่อดำเนินการดังกล่าวก็ตาม ไบเดนได้เลือกพื้นที่มหาสมุทรบางส่วนเป็นพื้นที่คุ้มครองที่ห้ามขุดเจาะ
สิทธิของเชื้อชาติและผู้ข้ามเพศ
"ด้วยการเซ็นลงนามตั้งแต่วันแรก เราจะหยุดความบ้าคลั่งของผู้ข้ามเพศ" ทรัมป์กล่าวในเดือนธันวาคม พร้อมให้คำมั่นว่าจะ "ยุติการขลิบอวัยวะเพศเด็ก กำจัดผู้ข้ามเพศออกจากกองทัพ และออกจากโรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมต้น และโรงเรียนมัธยมปลายของเรา"
เขายังกล่าวอีกว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับเพศเพียงสองเพศ คือ ชายและหญิง
นอกจากนี้ เขายังมีแผนที่จะตัดเงินทุนของรัฐบาลกลางสำหรับโรงเรียนที่นำ "ทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์" (critical race theory) มาใช้สอนนักเรียน ซึ่งเป็นแนวทางที่มองประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ผ่านมุมมองของการเหยียดเชื้อชาติ
Agence France-Presse
Photo by Narinder NANU / AFP