ข้อมูลเบื้องหลังข่าว
- Woke หรือ Wokeness หรือ "การตื่นรู้/ตระหนักรู้" เป็นการรับรู้ถึงความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เช่น ความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ การแบ่งแยกทางเพศ และการปฏิเสธสิทธิของกลุ่ม LGBTQ นอกจากนี้ Woke ยังถูกใช้เป็นคำย่อสำหรับแนวคิดบางอย่างของฝ่ายซ้ายในอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเชิงอัตลักษณ์และความยุติธรรมทางสังคม เช่น สิทธิพิเศษของคนผิวขาวและการชดเชยให้กับการค้าทาสในสหรัฐอเมริกา
- นโยบายความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว (Diversity, equity, and inclusion หรือ DEI) เป็นแนวคิดหลักของขบวนการ Woke โดยในส่วนของ "ความหลากหลาย" หมายถึง ความหลากหลายภายในการรับคนเข้ามาทำงานในองค์กรต่างๆ เช่น ในด้านอัตลักษณ์และการเมืองด้านอัตลักษณ์ ซึ่งรวมถึงเพศ ชาติพันธุ์ รสนิยมทางเพศ ความพิการ อายุ วัฒนธรรม ชนชั้น ศาสนา หรือความคิดเห็น
- ความเสมอภาค หมายถึง การชดเชยที่ยุติธรรมในองค์กรและในสังคมกับผู้ที่ถูฏเอาเปรียบและความเท่าเทียมกันทางสังคมและการจัดสรรทรัพยากรและ "อำนาจในการตัดสินใจให้แก่กลุ่มที่เสียเปรียบมาโดยตลอด" ส่วนการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว คือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้ทุกคนมีสิทธิในการแสดงความเห็นเพื่อกำหนดอนาคตขององค์กรและชุมชน
สำนักข่าว AFP รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมความเท่าเทียมกันของ LGBTQ และออกคำสั่งฉบับใหม่กำหนดเฉพาะ 2 เพศ คือ ชายและหญิงเท่านั้น พร้อมยุติโครงการความหลากหลาย หรือ DEI ของรัฐบาลหลังจากเข้าทำงานในทำเนียบขาวได้ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการยุติสิ่งที่เขาประณามว่าเป็นวัฒนธรรมที่ "การตื่นรู้" (Woke) อย่างชัดเจน
ในช่วงหาเสียง ทรัมป์กล่าวร้ายนโยบายความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว (Diversity, equity, and inclusion หรือ DEI)ในรัฐบาลกลางและองค์กรธุรกิจ โดยกล่าวว่านโยบายดังกล่าวเลือกปฏิบัติต่อคนผิวขาว โดยเฉพาะผู้ชาย
“รัฐบาลของไบเดนบังคับให้มีโครงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติที่ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม ซึ่งเรียกว่า 'ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว' (DEI) ในทุกด้านของรัฐบาลกลาง ในด้านต่างๆ ตั้งแต่ความปลอดภัยของสายการบินไปจนถึงกองทัพ” คำสั่งฉบับใหม่ที่ยุติโครงการดังกล่าวระบุ
ขณะหาเสียง ทรัมป์ยังกล่าวร้ายการรับรองความหลากหลายทางเพศด้วยการโจมตีบุคคลข้ามเพศ โดยเฉพาะผู้หญิงข้ามเพศในวงการกีฬา และให้เด็กเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพ
ต่อหน้าผู้สนับสนุนจำนวนมากในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ทรัมป์ได้ยุติคำสั่งของประธานาธิบดีสมัยที่แล้ว การปฏิบัติงาน และบันทึกช่วยจำของประธานาธิบดีที่ออกโดยโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดี รวม 78 คำสั่ง
คำสั่งที่ถูกยกเลิกหลายฉบับส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียมกันในรัฐบาล สถานที่ทำงาน และการดูแลสุขภาพ รวมถึงสิทธิของชาวอเมริกัน LGBTQ
ในการดำเนินการดังกล่าว ทรัมป์ได้ทำตามสัญญาหาเสียงที่จะลดโปรแกรมที่พยายามแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันทางประวัติศาสตร์ทันที แต่เขายืนกรานว่าจะทำให้คนผิวขาวเสียเปรียบ โดยเฉพาะผู้ชาย
ทรัมป์ได้ยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีในยุคของไบเดนที่ป้องกัน "การเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ทางเพศหรือรสนิยมทางเพศ" การเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกัน LGBTQ ในด้านการศึกษา รวมถึงโปรแกรมความเท่าเทียมสำหรับชาวอเมริกันผิวดำ ฮิสแปนิก และชาวเกาะแปซิฟิก
ต่อมาเขาได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารแยกต่างหากโดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องให้ตัวเลือกเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น และตัดตัวเลือกสำหรับอัตลักษณ์ทางเพศอื่นๆ ออกไป เช่น "X" ในใบสมัครหนังสือเดินทาง
'การตอบโต้อย่างต่อเนื่อง'
คำสั่งดังกล่าวระบุว่า "หน่วยงานต่างๆ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมดตามที่กฎหมายอนุญาต เพื่อยุติการให้เงินทุนของรัฐบาลกลางแก่อุดมการณ์ทางเพศ" โดยใช้ประโยคที่ทรัมป์ใช้เรียกรวมๆ ในภาษาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศอื่นๆ
คำสั่งดังกล่าวระบุว่ารัฐบาลของเขาจะใช้ "ภาษาและนโยบายที่ชัดเจนและถูกต้องที่ยอมรับว่าผู้หญิงเป็นเพศหญิงทางชีววิทยา และผู้ชายเป็นเพศชายทางชีววิทยา" เท่านั้น
นโยบายดังกล่าวแทบจะต้องเผชิญการท้าทายทางกฎหมายอย่างแน่นอน
นอกโรงแรม Stonewall Inn อันเก่าแก่ในนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ สมาชิกของชุมชนต่างแสดงท่าทีท้าทาย
"การประกาศและการเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างมาก" แองเจิล บูลลาร์ด นักศึกษาข้ามเพศวัย 22 ปีจากไวโอมิง กล่าวกับ AFP
“มันเป็นสถานที่ที่เลวร้ายมากเมื่อคุณไม่ได้รับการยอมรับและถูกโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้”
เจมี เทย์เลอร์ (Jami Taylor) ศาสตราจารย์ด้านการเมืองที่มหาวิทยาลัยโทเลโด และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย LGBTQ เตือนว่า เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การเข้าถึงการดูแลทางการแพทย์ที่ยอมรับความแตกต่างทางเพศอาจมีความเสี่ยงในกรณีที่มีเงินจากรัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้อาจส่งผกระทบต่อบุคคลข้ามเพศในกรณีที่ได้รับเงินสนับสนุนจากประกันสุขภาพของรัฐอย่าง Medicare และ Medicaid ซึ่งเป็นสวัสดิการที่นิยมใช้กันในหมู่ชาวอเมริกันที่อายุมากและฐานะยากจน หรือในเรือนจำของรัฐบาลกลาง
ก่อนการเลือกตั้ง ทรัมป์สัญญาว่าจะสั่งห้ามการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพกับผู้เยาว์ และจะดำเนินการทางกฎหมายกับแพทย์และนักการศึกษาทุกคนที่ดำเนินการหรือเปิดโอกาสให้มีการปฏิบัติดังกล่าว
กองทุน LGBTQ Victory ซึ่งมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมผู้สมัครทางการเมืองที่เป็นมิตรกับชุมชน กล่าวว่า "การทำงานเพื่อเลือกตั้งผู้สมัคร LGBTQ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมกันนั้นมีความสำคัญยิ่งขึ้น เนื่องจากชุมชนของเรากำลังเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้อย่างต่อเนื่อง วาทกรรมต่อต้าน LGBTQ และการเพิกถอนคำสั่งที่สนับสนุนความเท่าเทียมกัน"
ศูนย์ช่วยเหลือ LGBT แห่งชาติได้รับสายโทรศัพท์ประมาณ 2,000 สายต่อวันนับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งออกมา แทนที่จะเป็น 300 สายตามปกติ ตามที่ผู้อำนวยการ Aaron Almanza กล่าว
วาทกรรมต่อต้านคนข้ามเพศเป็นกระแสหลักในการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ และได้รับเสียงเชียร์อย่างกึกก้องจากฝูงชน
Agence France-Presse
Photo - ผู้เข้าร่วมงานจูบกันระหว่างงาน LGBT Pride Parade ครั้งที่ 33 ในกรุงบัวโนสไอเรส เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2024 (ภาพโดย Emiliano Lasalvia / AFP)