คนในตระกูลมัสก์ (Musk family) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนี้ คือ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เาไม่เพียงเป็นนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมชั้นนำและยังเป็น Tech oligarch คนหนึ่งด้วย ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ "ระบอบทรัมป์ 2.0" ที่ผสมผสานกันระหว่างอำนาจนิยมขวาจัดกับนายทุนธุรกิจเทค แต่ อีลอน มัสห์ มีความเป็นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เขาเป็นทั้งนายทุนของทรัมป์ เป็นกุนซือของทรัมป์ และเป็นคนในรัฐยาลที่จะทำหน้าที่กวาดล้างโครงสร้างอำนาจเดิม (Deep state) เขาจึงมีอิทธิพลอย่างมาก แบบที่มหาเศรษฐีคนไหนก็ไม่เคยมาก่อนในยุคปัจจุบัน
แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ อีลอน มัสก์ คือความเป็นมันสมองของฝ่ายขวาทั้งในสหรัฐฯ และในยุโรป ความเป็นขวาของเขาเกิดขึ้นจากอุกมการณ์ส่วนตัวหรือไม่ หรือว่าจะเกิดจากการส่งทอดจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลมัสก์ของเขา ซึ่งไม่ใช่ตระกูลธรรมดา แต่เครือญาติบางครมีความเกี่ยวข้องกับ "ทุน" และ "ฝ่ายขวา" อย่างมาก
ความไม่ขวาในตระกูลฝ่ายพ่อ
พ่อของ อีลอน มัสก์ คือ เออร์รอล เกรแฮม มัสก์ (Errol Graham Musk[) เป็นวิศวกร นักการเมือง และนักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ เออร์รอลบอกกับ Business Insider South Africa ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าครึ่งหนึ่งของเหมืองมรกตในประเทศแซมเบีย ซึ่งเขาอ้างว่าซื้อมาเพราะความใจร้อน ตอนนั้นเออร์รอลและนักบินผู้ช่วยกำลังขับเครื่องบินจากแอฟริกาใต้ไปอังกฤษเพื่อขายเครื่องบิน แต่เมื่อพวกเขาไม่สามารถแวะที่ซาอุดีอาระเบียตามกำหนดการได้ เปลี่ยนแผนมายังประเทศข้างๆ
“พวกเรากำลังจะบินไปเมืองเจดดาห์ (ที่ซาอุดีอาระเบีย) ซึ่งมีวันหยุดทางศาสนาอยู่ พวกเขาบอกว่าถ้าเรามาถึงตอนนี้ เราต้องจ่ายเงิน 2,000 ดอลลาร์ แต่ถ้าเรารอ 10 วัน เราจะเข้าไปได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ” เขาเล่าให้ Business Insider ฟัง “ดังนั้นเราจึงตัดสินใจกลับไปที่ทะเลสาบแทนกันยิกาจากจุดที่เราอยู่ ผมคิดว่าเราอยู่ที่จิบูตี” และตอนที่อยู่ที่จิบูตี เออร์รอลและนักบินผู้ช่วยขายเครื่องบินให้กับชาวอิตาลีบางคน
"เราไปที่บ้านสำเร็จรูปของชายคนนี้และเขาเปิดตู้เซฟ ปรากฏว่ามีเงินกองโตและเขาจ่ายเงินให้ผม 80,000 ปอนด์ มันเป็นเงินจำนวนมหาศาล (ในเวลานั้น)" ผู้ซื้อยังเสนอให้เออร์รอลซื้อเหมืองมรกตครึ่งหนึ่งด้วยเงินสดจำนวนนั้นด้วย ซึ่ง "ผมบอกว่า 'โอเค' ดังนั้นผมจึงกลายเป็นเจ้าของเหมืองครึ่งหนึ่ง และเราขุดได้มรกตมาเป็นเวลาหกปี"
“พวกเราร่ำรวยมาก บางครั้งเรามีเงินมากมายจนปิดตู้เซฟไม่ได้ด้วยซ้ำ” เออร์รอลเล่า พร้อมอธิบายว่ามีคนคนหนึ่งคอยเอาเงินยัดเข้าไป ในขณะที่อีกคนปิดประตูตู้เซฟอย่างแรง “แตก็ยังมีธนบัตรจำนวนมากที่ปลิ้นออกมา แล้วพวกเราก็หยิบออกมาใส่กระเป๋า” เขาเล่าให้ Business Insider ฟัง
แต่เป็นเรื่องแปลกที่ อีลอน มัสก์ กลับปฏิเสธว่าพ่อของเขามีเหมืองมรกตในแซมเบีย อาจเป็นเพราะมีการแพร่ข่าวว่าการสร้างตัวของเขามาจากเงินของพ่อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับยุคแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) แต่ในความจริงแล้วนโยบาย Apartheid เป็นนโยบายเฉพาะในประเทศแอฟริกาใต้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศแซมเบีย หรือส่วนใหญ่ในแอฟริกา เนื่องจากประเทศแอฟริกาใต้ในเวลานัน้ยังปกครองโดยคนผิวขาว ส่วนประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาปกครองโดยคนผิวดำ
อีลอน มัสก์ถึงกับเคยทวีตในเดือนธันวาคม 2019 ว่า “เขา (พ่อของเขา) ไม่ได้เป็นเจ้าของเหมืองมรกต และผมก็ทำงานหาเลี้ยงชีพในมหาวิทยาลัย โดยมีหนี้สินค่าเล่าเรียนอยู่ราวๆ 100,000 ดอลลาร์”
อีลอน ยังให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ในปี 2017 ว่า "เรื่องหนึ่งที่เขา (พ่อของเขา) กล่าวอ้างก็คือ เขาให้เงินเราเป็นจำนวนมากเพื่อเริ่มต้นธุรกิจแรกของเรา ซึ่งก็คือพี่ชายของผมกับผม ซึ่งไม่เป็นความจริง ผมกับพี่ชาย (คิมบอล มัสก์ / Kimbal Musk) จ่ายค่าเล่าเรียนด้วยทุนการศึกษา เงินกู้ และทำงานสองงานในเวลาเดียวกัน เงินทุนที่เราหาได้สำหรับบริษัทแรกของเรามาจากกลุ่มนักลงทุน angel investors กลุ่มเล็กๆ ในซิลิคอนวัลเลย์”
การที่มัสก์ความเกี่ยวข้องของพ่อของเขาในเรื่องการสร้างตัวของเขาจนกลายเป็นมหาเศรษฐี ทำให้เขาถูกมองว่ามีปัญหากับพ่อจนเข้ากันไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เขาก็เป็นคนยืนยันเองว่า "พ่อของเขามีปัญหา" เขาให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone “คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเลวร้ายขนาดไหน เขาทำอาชญากรรมแทบทุกอย่างที่คุณนึกออก” เขาทำเรื่องชั่วร้ายแทบทุกอย่างที่คุณนึกออก ... มันเลวร้ายมากจนคุณแทบไม่เชื่อ”
ส่วนเออร์รอลให้สัมภาษณ์กับ Daily Mail ว่าอีลอน "ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ซะที" และ "เลิกหมกมุ่นได้แล้ว" พร้อมทั้งเสริมว่า "ผมจะไม่โต้ตอบ ผมจะรอจนกว่าเขาจะรู้สึกตัว เขากำลังอาละวาดเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ เขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และตอนนี้ผมกลายเป็นปีศาจชั่วร้ายไปแล้ว"
อำนาจนิยมในตระกูลฝ่ายแม่
ในขณะที่ฝ่ายพ่อดูเหมือนจะเป็นนัผจญภัยที่มีชีสวิตหวือหวาหลากหลาย แต่เขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายขวาแต่อย่างใด ความสัมพันธ์ของอีลอน มัสก์กับแม่ของเขา คือ เมย์ มัสก์ (Maye Musk) ดูเหมือนจะลงรอยดีกว่าพ่อ
แต่ครอบครัวฝ่ายแม่ของเขามีเบื้องหลังที่น่าสนใจมากกว่าในเรื่องการหมกมุ่นกับอำนาจการเมืองฝ่ายขวา
แม้แต่พ่อของอีลอน มัสก์ก็ยังพูดถึงเรื่องนี้ โดยเออร์รอล มัสก์ บอกกับ Mac G Podcast และ Chill ว่า "พ่อแม่ของเธอ (พ่อแม่ของเมย์ มัสก์ หรือตากับยายของอีลอน มัสก์) เดินทางมาจากแคนาดามาอยู่ที่แอฟริกาใต้ เพราะพวกเขาเห็นเอกเห็นใจรัฐบาลอฟริกานเนอร์ (รัฐบาลผิวขาวในแอฟริกาใต้ที่เหยียดสีผิว) พวกเขาเคยใสนับสนุนฮิตเลอร์และอะไรทำนองนั้น (นาซีและฟาสซิสต์?) แต่ผมไม่คิดว่าพวกเขารู้ว่าพวกนาซีทำอะไรอยู่ในตอนนั้น แต่พวกเขาอยูี่ในพรรคนาซี ในพรรคเยอรมันในแคนาดา และพวกเขาเห็นอกเห็นใจฝ่ายเยอรมัน ดังนั้น เมื่อรัฐบาลแอฟริกาเนอร์มีอำนาจที่นี่ (แอฟริกาใต้) ในปี 1948 จากนั้นพ่อของแมย์ ซึ่งค่อนข้างเป็นคนที่น่าสนใจ เขาอยากจะอยู่กับพวกอาฟรอกาเนอร์์ เพราะเขาเห็นด้วยกับพวกอาฟริกาเนอร์"
ผู้ดำนเนินรายการถาม เออร์รอล มัสก์ ว่าแล้วเรื่องนี้ไม่ได้สร้างความขัดแย้งกับคุณหรือ? เออร์รอล มัสก์ตอบว่า "ถูกต้อง เรื่องนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา เพราะผมเป็นผู้อำนวยการ เป็นสมาชิกของ National Union of South African Students (NUSAS) ซึ่งค่อนข้างต่อต้านนโยบาย Apartheid (แบ่งแยกสีผิว) แล้วผมมีเรื่องโต้เถียงกับเขาเยอะมาก"
ในเรื่องนี้พ่อของเมย์ มัสก์ เป็นตัวละครที่มีความสำคัญที่สุดในฐานะ "บรรพบุรุษฝ่ายขวาจัด" ของ อีลอน มัสก์
ตาของ อีลอน มัสก์ คือ โจชัว ฮัลเดอร์แมน (Joshua N. Haldeman) เป้ฯคนแคนาดาแต่กำเนิด แล้วย้ายมาอยู่ที่แอฟริกาใต้ ตอนที่ยังอยู่ที่แคนาดา ระหว่างปี 1936 ถึงปี 1941 เขาเกี่ยวข้องกับองค์กร Technocracy Incorporated ซึ่งนำไปสู่การจับกุมเขาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 1940 ในเมืองแวนคูเวอร์ในข้อหาเป็นสมาชิกขององค์กรที่ผิดกฎหมาย เพราะองค์กร Technocracy Incorporated ถูกห้ามในแคนาดาหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นเนื่องจากองค์กรนี้ถูกมองว่าเป็นองค์กรที่บ่อนทำลายความพยายามในการทำสงคราม
องค์กร Technocracy Incorporated ตอนแรกสนับสนุนระบอบ "คตินิยมนักวิชาการ" หรือ Technocracy ที่เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ วิศวกรและนักเทคโนโลยีผู้มีความรู้ ความชำนาญหรือทักษะจะก่อตัวเป็นองค์การปกครอง แทนนักการเมือง นักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ หรือพูดง่ายๆ คือสนับสนุนผู้มีความรู้เฉพาะทางจำนวนจำกัดในการมาบริหารประเทศแทนที่ระบอบประชาธิปไตยที่เลือกคนจากเสียงส่วนใหญ่ไม่ใช่ความสามารถ
ในปี 1941 โจชัว ฮัลเดอร์แมน ได้ลาออกจากกลุ่มนั้นและพยายามจัดตั้งพรรคการเมืองของตนเองเป็นเวลาสองปี โดยตีพิมพ์จดหมายข่าวชื่อ Total War & Defence ในฐานะผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ในปี 1943 ฮัลเดอร์แมน เข้าร่วมพรรคเครดิตสังคมแห่งแคนาดาและดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคเครดิตสังคม (Social Credit Party of Canada) แห่งซัสแคตเชวัน ซึ่งพรรคนี้เป็นพรรคฝ่ายขวา แต่เขาไม่ได้รับเลือกในการเลือกตั้งทั่วไปของซัสแคตเชวันในปี 1948 แต่เขาก็ยังไม่หยุดแค่นั้น และยังแสดงอุดมกาารณ์ขวามากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เขาอ้างว่าการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้กำลังนำพา “อารยธรรมคริสเตียนผิวขาว” ต่อต้าน “แผนการสมคบคิดระดับนานาชาติ” ของนายธนาคารชาวยิวและ “กลุ่มคนผิวสี” ที่เขาอ้างว่าคอยควบคุมวาระของโลกเอาไว้
โจชัว ฮัลเดอร์แมน สนับสนุนนโยบายแบ่งแยกสีผิวด้วยการเขียนบทความให้หนังสือพิมพ์ Regina Leader-Post ในรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา ในปี 1951 เขาแสดงจุดยืนปกป้องการแบ่งแยกสีผิวและการเขียนเกี่ยวกับชาวแอฟริกาใต้ผิวดำ โดยกล่าวว่า “ชาวพื้นเมืองเป็นพวกดั้งเดิมมากและไม่ควรให้ความสำคัญ... บางคนฉลาดมากในการทำงานประจำวัน แต่คนดีที่สุดไม่สามารถรับผิดชอบและจะใช้อำนาจในทางที่ผิด รัฐบาลแอฟริกาใต้ชุดปัจจุบัน (คนผิวขาว) รู้วิธีจัดการกับปัญหาชาวพื้นเมือง”
นี่คือเบื้องหลังของตระกูลมัสก์ทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ จากข้อมูลนี้เราพอจะเห็นลักษณะบางประการของครอบครัวฝ่ายแม่ที่เป็นพวกขวา นิยมนาซี และเหยียดสีผิว แต่เราไม่สามารถสรุปได้ว่าความเป็นขวาของมัสก์ได้รับการถ่ายทอดมาจากญาติผู้ใหญ่ฝ่ายนี้หรือไม่
และในท่ามกลางความขัดแย้งกับพ่อที่ต่อต้านพวกฝ่ายขวา อีลอน มัสก์ยังมี "ลูกชาย" อีกคนหนึ่งที่เป๋นฝ่ายลิเบอรัลเต็มตัว และต่อต้านตัวเขาและเขาเองก็ไม่เอาลูกคนนี้เหมือนกัน เพราะลูกชายได้กลายเป็นลูกสาวผ่านการแปลงเพศ และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน LGBT ซึ่งอีลอน มัสก์กำลังประกาศสงครามกวาดล้าง
ทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by Chip Somodevilla / POOL / AFP