นอกจาก 'เสอจื้อเจียง' ที่มีชื่อคุ้นหูกันดีในฐานเจ้าพ่อจีนเทาแห่งเมียวดีแล้ว ที่เมียวดียังมีระดับเจ้าพ่ออีกจำนวนหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจสีดำและเทาที่นั่น หนึ่งในนั้นคือ 'อิ่นกั๋วจวี' (尹国驹) หรือ 'หวั่นกวอกเค็ย' (Wan Kuok Koi) ผู้นำองค์กรใต้ดินแก๊ง 14K สาขามาเก๊า
ในยุครุ่งเรือง อิ่นกั๋วจวี เคยมีอำนาจมากกว่าผู้ว่าการมาเก๊าเสียอีกและถูกนิตยสาร Time ขนานนามว่าเป็น "เจ้าพ่อแห่งมาเก๊ายุคสุดท้าย" เพราะเขามีบทบาทในช่วงก่อนที่มาเก๊าจะกลับคืนสู่จีนในช่วงทศวรรษ 1990 ในปี 2020 เขาถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยในมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
อิ่นกั๋วจวี เกิดในสลัมในเขตชิงโจว หรือ อีญา แวร์จี (Ilha Verde) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาเก๊า เขาเป็นพี่คนโตจากพี่น้องห้าคน พ่อของเขาเป็นคนงานในโรงงานประปาและแม่ของเขาเป็นคนงานในโรงงานไม้ขีด
อิ่นกั๋วจวี ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุได้สิบขวบเพื่อหาเลี้ยงชีพและทำงานในร้านอาหารเพื่อช่วยเหลือครอบครัว เมื่ออายุได้สิบห้าปี เขาและเพื่อนๆ ไม่กี่คนเริ่มต้นธุรกิจขายตั๋วหนัง ซึ่งทำให้เขาสามารถซื้อรถจักรยานยนต์ได้เมื่ออายุได้สิบหกปี เล่ากันว่าตอนยังเด็กเขามักจะมีท่าทีหยิ่งยะโส และมักจะไปท้าแข่งรถกับคนอื่น แต่ครั้งหนึ่งเขาประสบอุบัติเหตุขณะฝึกขับรถและฟันหน้าซี่หนึ่งของเขาหัก ดังนั้นเพื่อนๆ ของเขาจึงเรียกเขาเล่นๆ ว่า "ไอ้ฟันหัก" และมันจะกลายเป็นฉายาหนึ่งของเขาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ เค็ยฟันหัก (崩牙驹)
แต่เขาก็มีความเป็นนักเลงมาตั้งแต่เด็ก และเติบโตขึ้นมาบนเส้นทางของ 'อั้งยี่' ในที่สุด ในฐานะ 'ลูกพี่เค็ย' (驹哥)
เส้นทางนี้เริ่มต้น ในช่วงทศวรรษ 1980 อิ่นกั๋วจวี ได้เข้าร่วมกลุ่มอาชญากรอย่างเป็นทางการหลังจากได้พบกับ เฮยจื่อหัว (黑仔华) หัวหน้ากลุ่ม 14K
เฮยจื่อหัว หรือ เฉินหัว มีชื่อเสียงเลื่องลือในวงการอั้งยี่ ในฐานะ 'สี่จตุรเทพแห่งแก๊ง14K' (14K四大天王) โดยที่ เฉยจื่อหัว มีสถานสูงสุดในบรรดาจตุรดทพของแก๊ง โดยที่สถานะและความสำเร็จในแก๊ง ได้มาเพราะความเฉียบแหลมของเขาในการมองความเคลื่อนไหวของตลาดและวิสัยทัศน์ด้านการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องการพนัน
อิ่นกั๋วจวี พานพบกับ เฮยจื่อหัว ได้อย่างไร? เล่ากันว่า อิ่นกั๋วจวี เปิดแผงขายของสาธารณะ 3 แห่งเพื่อหาเลี้ยงชีพ ใกล้กับสถานที่สำคัญของมาเก๊าซึ่งก็คือซากปรักหักพังของโบสถ์เซนต์ปอล
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเล็กน้อยๆ ของ อิ่นกั๋วจวี ดันไปทับที่ของ เฮยจื่อหัว แถมยังไม่ได้แสดงความเคารพต่อลูกพี่เฮยจื่อหัวแห่งแก๊ง 14K เสียด้วย เรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดร้ายแรงของคนในวงการนักเลง
ความผิดนี้อาจถึงตายได้ ตอนแรก เฮยจื่อหัว ก็คิดจะสั่งสอน อิ่นกั๋วจวี ให้รู้สำนึก แต่พบได้พบกันเข้าเขาเห็นแววความเป้นเจ้าของ อิ่นกั๋วจวี แทนที่จะลงโทษเขากลับรับ อิ่นกั๋วจวี มาเป็นลูกน้องและลูกศิษย์
อิ่นกั๋วจวี จึงกลายมาเป็นศิษย์รักของเฮยจื่อหัว และนั่นก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ อิ่นกั๋วจวี สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิตได้
อิ่นกั๋วจวี ซาบซึ้งใจอย่างมากเคยว่าเขาจะตอบแทน เฮยจื่อหัว เมื่อถถึงวันที่เขาร่ำรวยขึ้นมา แต่ลูกพี่กลับบอกว่า "ตอบแทนพระคุณมีประโยชน์อะไร? ถ้าในอนาคตแกมีปัญหา แค่อย่ามาบอกลูกพี่ก็พอแล้ว!"
เพราะ เฉิยจื่อหัว ไม่เชื่อว่า อิ่นกั๋วจวี จะมีมันรวย แต่เขาก็เห็นว่าแววว่าคนๆ นี้มีโอกาสจะเป็นเจ้าพ่อคนหนึ่งได้
ในช่วงแรก อิ่นกั๋วจวีรับผิดชอบเฉพาะการรวบรวมสินค้าที่ถูกขโมยและการโจรกรรม ต่อมา เขาได้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอาชญากรที่มีอำนาจโดยการให้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยสูงในคาสิโนและเข้าไปพัวพันกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์
ในช่วงทศวรรษ 1990 อิ่นกั๋วจวีก็มีอำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่อย่างจริงจังเนื่องจากกลุ่มของเขากับกลุ่มอาชญากรอีกกลุ่มปะทะกันเพราะต้องการแย่งชิงพื้นที่คาสิโน ตำรวจมาเก๊าได้ออกหมายจับเขาและยังมีการออกออกหมายจับทั่วโลกผ่านอินเตอร์โพล
แต่หมายจับดังกล่าวถูกเพิกถอนในเวลาไม่นานหลังจากที่ออกหมาย นั่นหมายความว่า อิ่นกั๋วจวี และเบื้องหลังของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ
แต่เขาก็มีวันพลาดได้เหมือนกัน ที่ในเดือนพฤษภาคม 1998 เกิดเหตุรถยนต์ของอันโตนิโอ ฟรานซิสโก มาร์เกส บัปติสตา (António Francisco Marques Baptista) ผู้อำนวยการกรมตำรวจตุลาการของรัฐบาลมาเก๊าของโปรตุเกส ถูกวางระเบิด อิ่นกั๋วจวีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้และถูกจับกุมในวันถัดมาในข้อหาทะเลาะวิวาทกันระหว่างกลุ่มอาชญากร การนองเลือด การยิง และการข่มขู่
ในปี 1999 ศาลมาเก๊าตัดสินว่า อิ่นกั๋วจวี มีความผิดฐานมีส่วนร่วมในกลุ่มอาชญากร ปล่อยเงินกู้นอกระบบ ฟอกเงิน ครอบครองอาวุธ พนันผิดกฎหมาย ฯลฯ และถูกตัดสินจำคุก 15 ปี หลังจากอุทธรณ์ โทษจำคุกของเขาได้รับการลดเหลือ 13 ปี 10 เดือนโดถูกคุมขังในโกดังอิสระที่มีความปลอดภัยสูงในเรือนจำมาเก๊า (เดิมเรียกว่าเรือนจำโคโลอาน)
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2012 อิ่นกั๋วจวี ได้รับการปล่อยตัวจากคุก ตั้งแต่นั้นมา เขาทำตัวเงียบๆ และออกไปเคลื่อนไหวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะนักธุรกิจ แต่ไม่ใช่ทุกประเทศในเอเชียตะนออกเฉียงใต้ที่จะต้อนรับเขาในวันที่ 23 ธันวาคม 2013 อิ่นกั๋วจวี และเพื่อนๆ ของเขาเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อเยี่ยมชมบริษัท Marina Bay Sands ที่ได้รับทุนจากอเมริกา เมื่อพวกเขามาถึงสนามบินนานาชาติชางงีของสิงคโปร์ พวกเขาถูกปฏิเสธการเข้าเมืองโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและจุดตรวจของสิงคโปร์และถูกส่งตัวกลับมาเก๊า
แม้สิงคโปร์จะไม่ต้อนรับ แต่กัมพูชาต้อนรับเขา เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2018 อิ่นกั๋วจวี เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 'หงเหมิน' (洪门) ประจำปี 2018 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และประกาศจัดตั้งสำนักงานใหญ่ของสมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหงเหมินโลก และการออกสกุลเงินดิจิทัล "หงปี้" (洪币 เงินของหงเหมิน) ในนามขององค์กรหงเหมินโดยมีการออกเหรียญทั้งหมด 1 พันล้านเหรียญ
'หงเหมิน' ในที่นี้มีความหมายเดียวกับ 'อั้งยี่' หรือ 'หงจื้อ' อันเป็นสมาคมลับที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ในราชวงศ์ชิง ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการในภาคใต้ของจีน โดยเฉพาะในฝูเจี้ยน กวางตุ้ง (บางครั้งนักประวัติศาสตร์ใช้คำว่าหงเหมินเพื่อหมายถึงสมาคมลับที่ต่อต้านราชวงศ์ชิงทั้งหมด) หงเหมินได้พัฒนาเป็นสมาคมใต้ดินหลายแห่งหรือสมาคมลับที่มีชื่อแตกต่างกัน และแพร่กระจายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามกระแสที่ชาวจีนโพ้นทะเลอพยพมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่เดิมนั้นหงเหมินมีเป้าหมายเพื่อทำการโค่นล้มราชวงศ์ชิงและทำการปฏิวัติจีน ดังนั้นสมาชิกหลายคนจึงเป็นผู้มีบทบาทในการปฏิวัติจีน แต่สมาคมลับเหล่านี้ต่อมาบางส่วนยังได้พัฒนาเป็นแก๊งอาชญากรรม หรือที่เรียกว่า Triads และเคลื่อนไหวในโลกมืดด้วยการหากินกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
เช่น แก๊ง 14K ก็มีอีกชื่อว่า ซันเหอฮุ่น (三合会) ซึ่งเกี่ยวกับกลุ่มลับต่อต้านราชวงศ์ชิงมาตั้งแต่เดิม คือ เทียนตี้ฮุ่ยและหงเหมิน
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า อิ่นกั๋วจวี ใช้สมาคมลับในทางประวัติศาสตร์มาบังหน้าการเคลื่อนไหวของเขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มจากการใช้กัมพูชาเป็นฐานที่มั่น เพราะในขณะนั้นเริ่มมีชาวจีนที่เขามาทำธุรกิจฉ้อโกงออนไลน์และการพนันผิดกฎหมายในกัมพูชาเป็นจำนวนมาก จนทำให้กัมพูชาถือเป็น 'ดงจีนเทา' แห่งแรกๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่
แล้วต่อมา หลังจากถูกทางการกดดันให้ปราบราม พวกจีนเทาก็อพยพไปปักหลักที่เมียนมา ซึ่งรวมถึง อิ่นกั๋วจวี ด้วย โดยในเวลานั้นประจวบเหมาะกับการที่กลุ่มทุนจีนเทาอ้างโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ของทางการจีนไปลงทุนสร้างนิคมธุรกิจในเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา เช่น เสอจื้อเจียง ก็ใช้โอกาสนี้อำพรางธุรกิจของเขสโดยอ้างโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง จนทำให้รัฐบาลเมียนมาคล้อยตามด้วยเพราะหวังจะเก็บเกี่ยวเม็ดเงินลงทุน แต่หารู้ไม่ว่านี่คือการอำพรางของธุรกิจจีนเทา
อิ่นกั๋วจวี ก็ใช้โครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเป็นที่กำบังในการจัดตั้งโครงการคาสิโนผิดกฎหมายในเมียนมา และได้ที่ดินและทรัพยากรอื่นๆ มาโดยร่วมมือกับองค์กรทหารในพื้นที่ และทำกำไรจากวิธีการที่ผิดกฎหมาย จากการสืบสวนของนักข่าว Deutsche Welle อิ่นกั๋วจวีเป็นผู้วางแผนเบื้องหลังกลุ่มฉ้อโกงโทรคมนาคมในเมียนมาร์ตอนเหนือและเป็นผู้ควบคุม KK Park ตัวจริง ไปจนถึงเบื้องหลังของกลุ่มบริหารนิคมจีนเทาอื่นๆ
จาการรายงานของสื่อต่างประเทศ อิ่นกั๋วจวี มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดการฉ้อโกงออนไลน์ประเภทใหม่ที่เรียกว่า 'การฆ่าหมู' (杀猪盘) หรือการทำสแกมเมอร์อย่างที่เรียกกันในภาษาจีน โดยมุ่งเป้าหลอกลวงออนไลน์กับผู้คนที่มีฐานะร่ำรวยแต่โดดเดี่ยว
การหลอกลวงดังกล่าวเรียกว่า "การฆ่าหมู" เนื่องจากผู้หลอกลวง "ทำให้เหยื่ออ้วน" โดยการสร้างสัมพันธ์ เพื่อเหยื่อถูกล่อจนกลายเป็นหมูอ้วนๆ แล้วจึง "ฆ่าหมู" โดยหลอกลวงเอาเงินของเหยื่อ ในตอนแรก การหลอกลวงนี้มุ่งเป้าไปที่คนจีนเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ผู้คนนับหมื่นทั่วโลกตกเป็นเหยื่อแล้ว
ในหมู่คนจีนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากจนต้องจ่ายเงินค่าไถ่ตั้งแต่ 200,000 ถึง 300,000 หยวนและหลบหนีออกมาจากเมียวดีได้ อ้างว่าผู้หลอกลวงคือ 'กลุ่มตงเหม่ย' (东美集团)
กลุ่มตงเหมายเป็นของใคร? ขอให้ย้อนกลับเมือหลายปีก่อนยังเหลือภาพถ่ายของ อิ่นกั๋วจวี เคยเข้าร่วมพิธีเปิดกลุ่มตงเหม่ยที่เมียนมาโดยยืนอยู่ตรงกลางภาพ โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020 อิ่นกั๋วจวี ปรากฏตัวในภาพถ่ายที่พิธีตัดริบบิ้นของนิคมอุทยาหกรรมไซซีกั่ง (赛西港产业园区) ในเมียนมา โดยมีทหารกองกำลังชนกลุ่มน้อยสวมเครื่องแบบลายพรางยืนประกบ ต่อมานิคมไซซีกั่งเปลี่ยนชื่อมาเป็นนิคมตงเหม่ย
ดังนั้นจึง "ไม่มีใครเชื่อว่าเขาไม่ใช่ตัวบอส" และบางคน เช่น อินฟลูเอนเซอร์ในจีนที่ชื่อ 'เหมี่ยนเตี้ยนไห่ปั๋ว' (缅甸海波) ที่ติดตามเรื่องจีนเทาในเมียนมา จึงกล่าวว่า “อิ่นกั๋วจวี คือผู้บริหารเบื้องหลังของนิคมอุตสาหกรรมตงเหม่ย ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา”
อย่างไรก็ตาม อิ่นกั๋วจวี ไม่ได้นิ่งเฉย เขาตอบโต้ 'เหมี่ยนเตี้ยนไห่ปั๋ว' ด้วยการยอมรับว่าเขาเป็นบอสแห่งเมียวดีจริง แต่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิคมจีนเทาในกัมพูชาและเมียนมา และขู่ที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อตอบโต้กับการใส่ร้ายนี้
แต่ดูเหมือนคำยืนยันของเขาจะต้อพิสูจน์กับข้อมูลอีกหลายฝ่ายด้วย เช่น กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรบริษัทของ อิ่นกั๋วจวี เมื่อปี 2020 ในข้อหาทุจริต นอกจากนี้ กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ยังได้เพิ่มบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยบริษัทของอิ่นกั๋วจวีเข้าไปในรายชื่อมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งรวมถึงกลุ่มตงเหม่ยในเมียวดีด้วย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่และนักวิจัยของสหประชาชาติเชื่อว่ามีผู้คนหลายพันคนถูกค้ามนุษย์ไปยังนิคมธุรกิจตงเหม่ยและถูกบังคับให้เข้าร่วมการหลอกลวงทางออนไลน์ ผู้สืบสวนกล่าวว่าผู้คนถูกหลอกล่อไปยังนิคมธุรกิจตงเหม่ยด้วยคำสัญญาว่าจะได้งานที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อถึงภายในนิคมธุรกิจตงเหม่ย ผู้คนถูกบังคับให้มอบหนังสือเดินทางและใช้ตัวตนปลอมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อทำงานหลอกลวงผู้คน
อิ่นกั๋วจวี ปฏิเสธอย่างเปิดเผยถึงความเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางผิดกฎหมายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการคว่ำบาตรเขา อิ่นกั๋วจวี ได้โพสต์วิดีโอบนโซเชียลมีเดีย โดยเขากล่าวว่าสมาคมหงเหมินของเขาปฏิบัติตามกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีโพสต์บน WeChat ที่อ้างว่าเป็นบัญชีทางการของสมาคมหงเหมินระบุว่า อิ่นกั๋วจวี "วางมือจากโลกใต้ดิน" แล้ว และตอนนี้กำลังทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็ยังถูกมองว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งโลกใต้ดินเหมือนเดิม และไม่ใช่แค่ที่มาเก๊า แต่ได้กลายมาเป็นตัวบอสแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้ว
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better