เมื่ออเมริกาแยกทางกับยุโรป ขวาตัวพ่อ 'JD Vance' ปราศรัยตีแสกหน้าค่านิยมลิเบอรัล

เมื่ออเมริกาแยกทางกับยุโรป ขวาตัวพ่อ 'JD Vance' ปราศรัยตีแสกหน้าค่านิยมลิเบอรัล

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025 เจดี แวนซ์ (JD Vance) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีคำปราศรัยในงาน Munich Security Conference ครั้งที่ 61 ซึ่งในคำปราศรัยของเขา แวนซ์  ได้วิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสหภาพยุโรปอย่างโจ่งแจ้ง แสดงจุดยืนของสหรัฐฯ ในลักษณะฝ่ายขวาซึ่งสวนทางกับรัฐบาลส่วนใหญ่ในยุโรป อีกทั้ง แวนซ์ แสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายขวาที่กำลังผงาดขึ้นมาในยุโรปและกำลังกลายเป็นแนวร่วมของ 'ระบอบทรัมป์'

สื่อหลายสำนักมองว่าคำปราศรัยดังกล่าวเป็นจุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับสหรัฐอเมริกา เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมๆ ไปกับการสนทนาทางโทรศัพท์โดยตรงระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกากับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย บางรายระบุว่าเป็นการประกาศ "สงครามทางอุดมการณ์" และ "สงครามวัฒนธรรม" ต่อพันธมิตรยุโรปของสหรัฐฯ และเป็น "ตัวทำลายล้าง" สถานะปัจจุบันของความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสองฝ่ายที่ยาวนานหลายทศวรรษ

ในสุนทรพจน์ของเขา เจดี แวนซ์ กล่าวว่าสถาบันประชาธิปไตยของยุโรปและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีกำลังถูกบ่อนทำลาย (ซึ่งหมายถึงการกีดกันฝ่ายขวา) เขาตำหนินักการเมืองยุโรปโดยเฉพาะว่า "ยกเลิกการเลือกตั้ง" โดยอ้างถึงการยกเลิกการเลือกตั้งประธานาธิบดีโรมาเนียในปี 2024 หลังจากที่ผู้สมัครชาตินิยมอิสระฝ่ายขวาได้รับชัยชนะในรอบแรก โดยอ้างว่าอาจมีความพยายามของรัสเซียในการแทรกแซงผ่านโซเชียลมทีเดียเพื่อให้ผู้สมัครฝ่ายขวาที่เอียรงไปทางรัสเซียได้รับชนะเลือกตั้ง

แต่ เจดี แวนซ์วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของเจ้าหน้าที่ยุโรปที่คว่ำผลการเลือกตั้งดังกล่าวว่า ว่าระบบประชาธิปไตยควรมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต้านทานความพยายามในการมีอิทธิพลจากภายนอกได้ แวนซ์เปรียบเทียบการเพิกถอนดังกล่าวกับแนวทางปฏิบัติในยุคโซเวียต โดยกล่าวว่า "หากประชาธิปไตยของคุณถูกทำลายได้ด้วยการโฆษณาทางดิจิทัลมูลค่าไม่กี่แสนดอลลาร์จากต่างประเทศ แสดงว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่แข็งแกร่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

เขากล่าวว่าศาลโรมาเนียได้ตัดสินใจเพิกถอนการเลือกตั้งภายใต้แรงกดดันจาก "ความสงสัยที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองและแรงกดดันมหาศาลจากเพื่อนบ้านในทวีปยุโรป" ซึ่งหมายถึงการที่สหภาพยุโรปกดดันศาลโรมาเนียให้คว่ำผลการเลือกตั้งที่ฝ่ายขวาชนะ โดยแวนซ์กล่าวหาผู้นำยุโรปว่าใช้ "คำที่น่าเกลียดในยุคโซเวียต เช่น ข้อมูลที่ผิดพลาดและข้อมูลบิดเบือน" เพื่อปกปิด "ผลประโยชน์ที่หยั่งรากลึกมานาน" 

"ผมรู้สึกประหลาดใจที่อดีตกรรมาธิการยุโรปได้ออกรายการโทรทัศน์เมื่อเร็วๆ นี้ และแสดงท่าทีดีใจที่รัฐบาลโรมาเนียเพิ่งยกเลิกการเลือกตั้งทั้งหมด เขาเตือนว่าหากสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน เรื่องแบบเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นได้ในเยอรมนีเช่นกัน คำพูดเย่อหยิ่งเหล่านี้ทำให้คนอเมริกันตกตะลึง เป็นเวลาหลายปีที่เราถูกบอกว่าทุกอย่างที่เราให้ทุนและสนับสนุนล้วนเป็นไปในนามของค่านิยมประชาธิปไตยร่วมกันของเรา ตั้งแต่นโยบายยูเครนไปจนถึงการเซ็นเซอร์ดิจิทัลล้วนถูกมองว่าเป็นการปกป้องประชาธิปไตย" แวนซ์ กล่าว

หลังจากตำหนิเรื่องที่เกิดขึ้นในโรมาเนีย แวนซ์ยังแสดงจุดยืนฝ่ายขวาของเขาที่สนับสนุนกาต่อต้านการทำแท้งและสนับสนุนค่านิยมคริสเตียน โดยประณามรัฐบาลอังกฤษอย่างหนักที่ผ่านกฎหมายเสรีภาพในการพูดที่ "ทรยศต่อหลักการ" โดยยกตัวอย่างกรณีของอดัม สมิธ คอนเนอร์ ซึ่งไปสวดภาวนาที่ด้านนอกคลินิกทำแท้งในบอร์นมัธ แต่กลับถูกจำคุกเพราะละเมิด "เขตปลอดภัย" รอบๆ คลินิกทำแท้ง (หมายถึง Safe access zone การคุ้มครองทางกฎหมายในการเข้าถึงการทำแท้ง และระยะห่างที่กำหนดไว้โดยรอบคลินิกหรือบริการดูแลสุขภาพสืบพันธุ์ ซึ่งผู้ที่ประท้วงต่อต้านการทำแท้งไม่สามารถประท้วง ยืน หรือสื่อสารกับผู้ป่วยและ/หรือเจ้าหน้าที่ที่เข้าและออกจากสถานพยาบาลสืได้) 

เขายังประณามการที่สวีเดนตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวคริสเตียนฐานเผาคัมภีร์อัลกุรอาน โดยถือเป็นการดำเนินคดีต่อการแสดงออกทางศาสนา อันเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การที่ตำรวจในเยอรมนี ปราบปรามความคิดเห็นต่อต้านแนวคิดสตรีนิยม และจดหมายที่รัฐบาลสกอตแลนด์ส่งถึงผู้คนในสกอตแลนด์ซึ่งบ้านของพวกเขาอยู่ในเขต Safe access zone โดยเตือนพวกเขาว่าการสวดภาวนาส่วนตัวเพื่อต่อต้านการทำแท้ง ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ตลอดการกล่าวสุนทรพจน์ แวนซ์เน้นย้ำถึงความสำคัญของความชอบธรรมของประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของประชาชน เขาโต้แย้งว่าผู้นำยุโรปควรยอมรับความคิดเห็นของสาธารณชนมากกว่าที่จะกลัว (โดยเจตนาก็คือให้ผู็นำยุโรปอย่ากีดกันฝ่ายขวา) แม้ว่าความคิดเห็นของสาธารณชนจะท้าทายจุดยืนที่เป็นที่ยอมรับก็ตาม สุนทรพจน์ดังกล่าวยังวิพากษ์วิจารณ์การประชุมความมั่นคงมิวนิกโดยเฉพาะ เนื่องจากไม่ให้ผู้นำการเมืองที่นิยมลัทธิประชานิยมฝ่ายขวาบางคนเข้าร่วม

แวนซ์ยังกล่าวอีกว่า "หากประชาธิปไตยของอเมริกาสามารถอยู่รอดได้ 10 ปีจากการถูกเกรตา ทุนเบิร์ก ข่มขู่ พวกคุณก็อยู่รอดได้อีกหลายเดือนจาก อีลอน มัสก์ (ที่ตำหนิยุโรป)" โดยอ้างอิงถึงข้อกล่าวหาการแทรกแซงการเลือกตั้งต่อมัสก์จากการส่งเสริมพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (AfD) ของเขา

ปราศรัยของแวนซ์ ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปหลายประเด็น รวมถึงการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศและความร่วมมือด้านความมั่นคง ในขณะที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลทรัมป์ต่อความมั่นคงของยุโรป แวนซ์ก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเพิ่มการสนับสนุนด้านการป้องกันประเทศของยุโรป โดยเขากล่าวถึงความเป็นไปได้ของ "การยุติปัญหาอย่างสมเหตุสมผล" ระหว่างยูเครนและรัสเซียโดยเฉพาะ นอกจากนี้ เขายังวิพากษ์วิจารณ์วาทกรรมของยุโรปในการต่อต้านรัสเซียและสนับสนับสนุนยูเครนว่าเป็น "การปกป้องประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ยุโรปกีดกันอยู่ นั่นคือบั่นทอเสรีภาพในการแสดงความเห็นของฝ่ายที่มีความคิดตรงกันข้าม

ที่สำคัญก็คือ แวนซ์ ต้องการให้ยุโรปปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามด้วยไม่ใช่รอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อย่างเดียวและชี้ว่าภัยคุกคามต่อยุโรปไม่ได้มาจากรัสเซียหรือจีน แต่มาจากภายในยุโรปเอง

"วันนี้ผมเห็นผู้นำทางทหารผู้ยิ่งใหญ่มากมายมารวมตัวกันที่นี่ แต่ถึงแม้ว่ารัฐบาลทรัมป์จะกังวลกับความมั่นคงของยุโรปมากและเชื่อว่าเราสามารถบรรลุข้อตกลงที่สมเหตุสมผลระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ และเรายังเชื่อด้วยว่าในปีต่อๆ ไป เป็นสิ่งสำคัญที่ยุโรปจะต้องก้าวขึ้นมาในระดับแนวหน้าเพื่อเตรียมการป้องกันของตัวเอง ภัยคุกคามที่ผมกังวลมากที่สุดต่อยุโรปกลับไม่ใช่รัสเซีย ไม่ใช่จีน ไม่ใช่ผู้มีบทบาทภายนอกอื่นๆ" และกล่าวว่า "สิ่งที่ผมกังวลคือภัยคุกคามจากภายใน การถอยหนีของยุโรปจากค่านิยมพื้นฐานบางประการ ค่านิยมที่แบ่งปันกับสหรัฐอเมริกา"

เขากล่าวด้วยว่า "วันนี้ผมมาที่นี่ไม่ใช่แค่เพื่อแสดงความคิดเห็น แต่เพื่อเสนอแนะ รัฐบาลของไบเดนดูเหมือนจะพยายามปิดปากผู้คนไม่ให้แสดงความคิดเห็น รัฐบาลของทรัมป์จะทำตรงกันข้าม และฉันหวังว่าเราจะร่วมมือกันในเรื่องนี้ ในวอชิงตัน มีผู้นำคนใหม่ในเมือง และภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เราอาจไม่เห็นด้วยกับมุมมองของคุณ แต่เราจะต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณในการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม"

เมื่อพูดถึงผู้นำคนใหม่ในวอชิงตัน ซึ่งเน้นย้ำเรื่อง "อาณัติ" (Mandate) ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ทรัมป์ประกาศหลังชนะเลือกตั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการอ้างอำนาจประชาธิปไตยในการใช้อำนาจฝ่ายบริหารอย่างเต็มที่เพื่อปฏิรูประบอบการเมืองตามแนวทางฝ่ายขวา แวนซ์ ก็เสนอแนะให้ยุโรปทำแบบเดียวกัน โดยกล่าวว่า "มีคุณค่ามากมายที่สามารถบรรลุได้ด้วยอาณัติตามระบอบประชาธิปไตยแบบที่ผมคิดว่าจะมาจากการตอบสนองเสียงของประชาชนมากขึ้น หากคุณต้องการที่จะเพลิดเพลินไปกับเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน หากคุณต้องการที่จะเพลิดเพลินไปกับพลังงานที่ราคาไม่แพงและห่วงโซ่อุปทานที่ปลอดภัย คุณจะต้องมีอาณัติในการปกครอง เพราะคุณต้องตัดสินใจที่ยากลำบากเพื่อเพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านี้ และแน่นอนว่าเราทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีในอเมริกา"

คำปราศรัยของ แวนซ์ ส่งผลสะเทือนต่อยุโรปอย่างมาก นายกรัฐมนตรีเยอรมนี โอลาฟ ชอลซ์ ตำหนิ แวนซ์ อย่างรุนแรง และเน้นย้ำว่าคำมั่นสัญญาที่จะ "ไม่เกิดขึ้นอีก" ซึ่งหมายถึงการจะไม่ปลอ่ยให้เยอรมนีถูกปกครองโดยพรรคฝ่ายขวาเหมือนสมัยนาซีเยอรมันอีก โดยเฉพาะพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนีซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัดของเยอรมนี หรือที่รู้จักกันในชื่อ AfD ซึ่งพยายามลดความน่าเกลียดน่ากลัวของระบอบนาซีลง ชอลซ์ ยังกล่าวต่อไปว่า เยอรมนีจะไม่ยอมรับให้บุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของประเทศ และกล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น อย่างแน่นอน ไม่ได้เกิดขึ้นในหมู่เพื่อนและพันธมิตร”

ส่วน รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี บอริส พิสตอริอุส กล่าวว่า การที่ แวนซ์ เปรียบเทียบพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกับระบอบเผด็จการนั้น "ไม่สามารถยอมรับได้" ส่วน คายา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายการทูตของสหภาพยุโรป กล่าวว่าเธอรู้สึกว่าสหรัฐฯ "กำลังพยายามหาเรื่องกับเรา" ส่วนนักการทูตและเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และยุโรปหลายคนแสดงความผิดหวังขณะที่สุนทรพจน์ดังกล่าวเกิดขึ้น โดยมีคนหนึ่งอ้างว่าสุนทรพจน์ดังกล่าวทำให้ "ผู้คนในห้องต่างอ้าปากค้าง" จากการรายงานของ Politico

Le Monde สื่อของฝรั่งเศสอ้างถึงคำปราศรัยของแวนซ์ว่าเป็นการประกาศ "สงครามทางอุดมการณ์" ต่อยุโรป นิตยสาร Politico กล่าวถึงคำปราศรัยดังกล่าวว่าเป็น "ลูกบอลทำลายล้าง" เพื่อการประชุมสุดยอด และได้นำสงครามวัฒนธรรมมาสู่ยุโรป 

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

Photo by THOMAS KIENZLE / AFP


 

TAGS: #JDVance #สหรัฐ #สหภาพยุโรป