'เขมรบุกปราสาทตาเมือนธม' ถึงเวลาต้องใช้พระเดชกันบ้าง อย่าเกรงใจประเทศที่ต้องการแผ่นดินไทย 

'เขมรบุกปราสาทตาเมือนธม' ถึงเวลาต้องใช้พระเดชกันบ้าง อย่าเกรงใจประเทศที่ต้องการแผ่นดินไทย 

คนกัมพูชาเดี๋ยวนี้ไม่น่ารัก วันดีคือนดีก็อ้างว่า "ไทยขโมยวัฒนธรรมเราไป" ซึ่งเป็นการมุสาที่ไร้หิริโอตตัปปะ เพราะตอนที่เขมรสิ้นชาติ ก็ไทยนี่แหละที่ส่งครูบาอาจารย์ไปรื้อฟื้นวัฒธรรมให้ พอปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาก็ลืมพระคุณ แถมยังอกตัญญูว่าไทยเป็นโจรเสียอีก 

ตอนนี้ยิ่งเหิมเกริมเข้าไปใหญ่ ก่อหวอดเรียกร้องจะเอาเกาะกูดไปเป็นของตัวเอง อ้างเรื่องโกหกสารพัดว่า เกาะกูดเป็นของกัมพูชามาก่อนแล้วถูกไทยเอาไปช่วงที่เขมรแดง ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเมอเพ้อพกขึ้นมาเอง

บ้าบอขนาดที่จะฟ้องร้องศาลโลกให้ไทยคืนเกาะกูด บางคนก็หลอนตัวเองด้วยการโพสต์โซเชียลมีเดียซ้ำๆ ว่า "เกาะกูดเป็นของเราๆ"

บอกตรงๆ ว่าผมทำข่าวต่างประเทศมา 20 กว่าปียังไม่เคยประเทศข้างบ้านประเทศไหนในโลกที่เต็มไปด้วยอวิชชาขนาดนี้

เขมรยังมโนว่าดินแดนอีกหลายส่วนของไทยเป็นของพวกเขา เช่น ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่่ยังไม่กำหนดเขตแดนชัดเจน แต่ไทยเป็นผู้ดูแลตัวปราสาท 

แม้กระนั้นไทยก็ยังมีเมตตาให้เขมรเข้ามาเที่ยวชมปราสาทได้เป็นเวลา ขออย่างเดียว "อย่าซ่า" ในแผ่นดินไทยก็พอ

"อย่าซ่า" หมายความว่าอย่ามาแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของปราสาทตาเมือนธม 

แต่ล่าสุด เขมรบังอาจแสดงอาการซ่าเข้าซะแล้ว คงเพราะเมาหมัดเรื่องทวงเกาะกูด พวกทหารเขมรเลยพาคณะแม่บ้านขึ้นเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ไปร้องเพลงเพลงชาติกับปลุกใจในพื้นที่ปราสาท และยังจะเดินเข้าไปในพื้นที่ฝ่ายไทยไม่อนุญาต ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารไทยต้องหยุดและตักเตือน

เตือนแล้วไม่ฟังอีก แถมยังโกรธจัดมากจนพูดว่า “ไม่ว่าพวกนั้นจะยิงมาหนักแค่ไหน ฉันจะยังร้องเพลงนี้ นี่คือแผ่นดินของฉัน!” 

บอกกันขนาดนี้แล้วไม่ต้องคิดเป็นอื่นว่าคนเขมรต้องการปราสาทตาเมือนธมขนาดยอมพลีชีพได้ แล้วเราจะอ่อนข้อได้หรือ?

แถมเขมรบางคนก็ยังห้าวไม่เลิก โพสต์ประกาศในโซเชียลมีเดียว่า "ปราสาทตาเมือนธมเป็นของกัมพูชา ตลอดมา และตลอดไป" 

ผมอยากจะบอกแค่ว่า "กัมพูชาบางคน" แต่คิดแล้วคิดอีกไม่เอาดีกว่า เพราะบางคนทำตัวเหิมเกริมต่อไทย แล้วคนประเทศเดียวกันไม่ตักเตือน ก็เท่ากับว่าปล่อยให้คนไม่ดีทำลายความสัมพันธ์ที่ดี ถือว่าคนทั้งประเทศต้องรับผิดชอบไปด้วย

ต่อมา พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กองกำลังสุรนารี ได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ราชอาณาจักรกัมพูชา เรื่อง ประท้วงการปฏิบัติของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ความตอนหนึ่งว่า “กองกำลังสุรนารี จึงขอแสดงความไม่สบายใจต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในอนาคต จึงขอให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ชี้แจงถึงการปฏิบัติในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ให้กับประชาชน หรือนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม ไม่ให้กระทำการในลักษณะดังกล่าวอีก”

ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ว่าจริงๆพื้นที่ตรงนี้อยู่ในประเทศไทย แต่ยังมีเส้นที่ยังแบ่งกันไม่ชัดเจน ก็ยังเป็นเรื่องค้างคาอยู่ ซึ่งเราก็เปิดให้ฝ่ายกัมพูชา ประชาชน ขึ้นไปสักการะ สิ่งต่างๆได้ เป็นวัดปกติ แต่การขึ้นไปร้องเพลง หรือแสดงเชิงสัญลักษณ์ แบบนี้เราไม่สบายใจ 

การที่ผู้ใหญ่ของไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ทำหนังสือแจ้งไปยังฝ่ายกัมพูชาแล้วว่า "ไม่สบายใจ" กับการไปทำซ่าที่เขตปราสาทตาเมือนธม ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เป็นครั้งที่รัฐขยับไวเป็นพิเศษกับปัญหากระทบกระทั่งกับเขมร

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับสำนวนภาษาว่า "ไม่สบายใจ" ความคลั่งอยากได้แผ่นดินคนอื่นของคนเขมรนั้นควรตอบโต้ด้วยคำว่า "ไม่พอใจ" เป็นอย่างน้อย หรือควรลงโทษผู้ที่ล้ำเสียให้เป็นตัวอย่างซะเลย อย่าได้ไว้หน้ากันไป

เพราะวิธีคิดของเขมรในเวลานี้เป็นวิธีคิดแบบ Irredentism (ลัทธิอยากได้ดินแดนคนอื่นจนตัวสั่น) ที่หนักหนาสาหัสมาก เลวร้ายกว่า "ชาตินิยม" เสียอีก ชาตินิยมนั้นยังพอมีเหตุผลและความน่าภูมิใจเพราะทุกชาติก็ต้องรักชาติตน แต่ Irredentism เหมือนอาการประสาทอย่างหนึ่งที่เป็นกันในระดับชาติ

ดังนั้น หากใช้แต่ "พระคุณ" นำหน้า "พระเดช" ในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไม่มีเหตุผลและเป็นเหมือนคนมีอาการประสาทแบบรวมหมู่ ก็ถึงเวลาจะต้องสั่งสอนกันบ้าง 

พูดแบบหมอๆ หน่อยก็ต้องใช้ Shock therapy ให้รู้ตัวกันเสียที

หรือไม่ก็เหมือนผู้ใหญ่ใช้ไม่เรียวตีเด็กให้จำนั่นแหละครับ ถ้าเด็กมันดื้อมากแล้วเอาแต่บอกว่า "ไม่สบายใจเลย ทำตัวดีๆ หน่อยสิ" ใครมันจะไปฟังล่ะครับ 

กัมพูชานั้นเป็นประเทศที่แทบไม่เป็นคุณต่อไทยเอาเลยในระยะหลัง มีแต่โทษเสียมาก แม้พวกแรงงานบางส่วนเข้ามาพึ่งใบบุญไทยก็ทำตัวไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน รวมกลุ่มเป็นแก๊งก่อความวุ่นวายก็มี

ส่วนพวกคนที่พอมีความรู้อยู่บ้าง แทนที่จะสั่งสอนอบรมคนในบ้านเมืองตัวเองให้มีศิวิไลซ์ กลับใช้ความรู้ปลอมๆ หลอกพวกเดียวกันว่า "แผ่นดินกัมพูชาถูกไทยแย่งไป" ไม่ก็บอกว่า "ไทยขโมยวัฒนธรรมเราไป" 

กัมพูชาก็เป็นประเทศที่เลี้ยงพวกธุรกิจสแกมเมอร์เอาไว้มากมาย ทั้งในปอยเปตและหัวเมืองไกลๆ เอาไว้หลอกคนไทยและชาติอื่นๆ ไทยเราประสานปราบไปหลายครั้งแล้ว ก็ทำแค่เอาหน้า ปัญหาไม่เคยหมดไป เพราะผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศนี้หากินกับพวกสีเทา

สรุปก็คือ ทุกระดับชั้นในกัมพูชาเต็มไปด้วยภัยต่อประเทศไทย แต่ทางการไทยก็ยังใจดี ไม่ยอมดุดังๆ แต่มักจะวอนขออีกฝ่ายเสียมากกว่า 

ผลก็คือ เขมรเลิกยำเกรงไทยทั้งคนไทยและรัฐบาลไทย ทั้งๆ ที่ยังต้องพึ่งพาไทยในทุกด้าน 

ผู้ใหญ่ในบ้านเราคงไม่ทราบว่า พวกเขมรนั้นสร้างความเจ็บช้ำให้กับคนไทยมากมายแค่ไหน ด้วยการด่าประเทศไทย ใส่ร้ายไทย และต้องการแผ่นดินไทยแบบไร้ยางอาย ลองถามคนไทยในโซเชียลมีเดียดูเถอะครับว่าต้องรบกับเขมรวันละกี่รอบ จนตอนนี้หลายคนเปลี่ยนใจเห็นใจเขมรมาเป็นศัตรูกับเขมรแบบเต็มตัวไปแล้ว 

เวลามีข่าวอะไรเกี่ยวกับกัมพูชา ร้อยทั้งร้อยจะไม่มีคนไทยแสดงมุทิตาจิตเอาเลย มีแต่เสียงสาปส่ง สถานการณ์มันเลวร้ายขนาดนี้แล้ว

จากกรณีปราสาทตาเมือนธม ผมเห็นแล้วว่าถ้าเขมรคุยดีๆ ไม่ได้ ควรจะไม้แข็งเสียที ไม่ใช่รังแกกัน แต่สอนให้หลาบจำบ้างไม่อย่างนั้นถ้าซ่าเกินขอบเขตแล้ว รัฐบาลไทยจะเอาไม่อยู่

ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไทยจะเอาเขมรไม่อยู่ แต่คนไทยจะลงมือจัดการปัญหากันเอง เหมือนที่ตอนนี้มีบางกลุ่มในไทยไม่พอใจการล้ำเส้นของพม่าบางกลุ่ม จึงจัดขบวนการตามล่าพม่าซ่าๆ เหล่านั้นกันเองโดยไม่รอหน่วยงานรัฐที่ทำงานช้าเหมือนเต่าคลาน

ถ้ารัฐบาลมีเครื่องมืออันชอบธรรมก็ควรทำเองเถอะครับ อย่าให้เกิดการล้างแค้นกันเองโดยประชาชนในแบบ Vigilante กันเองเลย

ป.ล. - ผมเคยเขียนเรื่อง Irredentism ของคนเขมรไปหลายครั้งแล้วทั้งในยุคปัจจุบันและยุคที่ผ่านมา สามารถอ่านได้ในสำนักข่าว The Better ของเรา แล้วท่านจะเข้าใจว่า ทำไมการคุยดีๆ กับคนเขมรคลั่งอยากได้ดินแดนคนอื่น ถึงเป็นเรื่องยากกว่าใช้วิธีสั่งสอนแบบไม่ต้องพูดมาก

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - Prasat Ta Muen Thom, Thailand by Ddalbiez / Wikipedia (CC BY-SA 3.0)

TAGS: #ปราสาทตาเมือนธม #กัมพูชา #เขมร