'จีนเทา'หนีจากเมียนมาไปกัมพูชา? จับตา'โอร์เสม็ด' แดนนรกสีเทาที่ยังไม่มีใครกล้าแตะ

'จีนเทา'หนีจากเมียนมาไปกัมพูชา? จับตา'โอร์เสม็ด' แดนนรกสีเทาที่ยังไม่มีใครกล้าแตะ

ในระหว่างที่จีน-ไทย-เมียนมา กำลังประสานงานทลายฐานที่มั่นธุรกิจสีเทาตามชายแดนไทย-เมียนมา ช่วงจังหวัดเมียวดี ก็เกิดความกังวลในหมู่คนไทยขึ้นมาว่า ถ้าบีบพวกจีนเทาให้พ้นไปจากเมียนมาแล้ว  พวกนี้อาจจะหนีเข้าไปยังกัมพูชาอีก

แน่นอนว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ เพราะตอนที่กัมพูชา "รับบัญชา" จากกจีนให้กวาดล้างจีนเทาอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว ก็มีพวกจีนเทาหนีจากกัมพูชาไปยังเมียวดีนี่แหละ รวมถึงพื้นที่เมืองพญาตองซู

แต่โอกาสที่พวกจีนเทาจะหนีกลับไปกัมพูชานั้นยากแล้ว เพราะ 

หนึ่ง จีน-ไทย-เมียนมา ประสานงานกันเหนี่ยวแน่นขึ้นในการกวาดล้างจีนเทาตาม 'ปฏิบัติการนกนางนวล' ซึ่งจีนเป็นผู้ประสานงานหลัก ประเทศไทยที่เป็น "โซ่ข้อกลาง" ของพวกจีนเทาในเมียนมาและกัมพูชา เริ่มจะนิ่งนอนใจไม่ไหว เพราะจีนกดดันหนัก หากไทยยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วให้ให้พวกนี้ย้ายเข้าย้ายออกบ้านเราโดยรัฐบาลไม่ทำอะไร เห็นทีจะกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ และตอนนี้ไทยต้องพึ่งพาจีนอย่างมากเสียด้วย 

สอง กัมพูชาถูกจีนกดดันหนักเช่นกันให้กวาดล้างดงจีนเทาทั้งในสีหนุวิลล์และที่ปอยเปต โดยเฉพาะที่แรกนั้นเป็นฐานที่มั่นของจีนเทาโดยแท้จริง แต่ถูกจีนสั่งให้ทลายให้หมด ผลก็คือสีหนุวิลล์กลายเป็นเมืองแทบจะร้าง ส่วนปอยเปตนั้นก็ยังมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก และล่าสุดยังถูกทางการไทยกดดันด้วยการตัดสายเชื่อมต่อโทรคมนาคมอีก เพื่อตัดช่องทางทำมาหากิน แต่เรื่องนี้มีอะไรทะแม่งๆ อยู่

หลังจากที่ไทยตัดสายโทรคมนาคมที่โยงไปยังปอยเปตเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ มีท่าทีแปลกๆ ของฝ่ายกัมพูชา โดย Camboja News สื่อกัมพูชารายงานว่า ตำรวจแห่งชาติและตำรวจจังหวัดของกัมพูชาปฏิเสธการสอบสวนและการดำเนินการของฝ่ายไทย โดยเรียกการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว ไม่ใช่ความพยายามร่วมกันโดยมีการยืนยันจากฝ่ายกัมพูชา

“นี่เป็นการประกาศฝ่ายเดียว พวกเขา [ตำรวจไทย] ไม่ได้ดำเนินการสอบสวนร่วมกับตำรวจกัมพูชาเลย ดังนั้น ไม่ว่า [ศูนย์หลอกลวง] มีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม ขึ้นอยู่กับคำกล่าวอ้างของไทย” โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา  ฉาย กิม เคือน กล่าว และยังย้ำว่า “ผมไม่สามารถยอมรับการเผยแพร่ข้อมูลนี้ได้” 

"การเผยแพร่ข้อมูลนี้" ที่โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชายอมรับไม่ได้ คือการบอกว่ากัมพูชายังมีแก๊งธุรกิจสีเทาทำมาหิากินอยู่ 

แต่การปฏิเสธเรื่องนี้มันขัดกับข้อเท็จจริง เพราะ

1. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 แรงงานต่างด้าวเกือบ 60 คน ซึ่งหลายคนมาจากเนปาลและปากีสถาน ช่วยกันบุกฝ่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อหลบหนีจากคาสิโนในเมืองโอร์เสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งเป็นแหล่งฉ้อโกงทางออนไลน์ 

2. สถานทูตอินเดียประจำกรุงพนมเปญออกประกาศเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2024 โดยสามารถช่วยเหลือชาวอินเดีย 67 คนจากขบวนการหลอกลวงการจ้างงานในเมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจยได้สำเร็จ

3. เดือนกุมภาพันธ์ คนไทย 4 คนที่ถูกหลอกลวงให้ไปทำงานในปอยเปตได้รับการช่วยเหลือจากทางการไทย

นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เอาเฉพาะแค่คนอินเดียเราจะพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2022 สถานทูตได้ส่งพลเมืองอินเดีย 1,000 คนที่ "ติดอยู่ในกัมพูชา" กลับประเทศ โดยมีผู้ถูกกักตัวเกือบ 770 รายในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2024 เพียงปีเดียว  

ข้อมูลข้างต้นบางชี้เรื่องหนึ่งก็คือ ปัญหานี้ดูจะไม่ใช่เรื่องของ 'จีนเทา' เพาะคนจำนวนมากเป็นคนจากเอเชียใต้ คือ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล  ดังนั้นมันดูเหมือนจะเป็นปัญหา 'แขกเทา' (ที่ตกเป็นเหยื่อ) มากกว่า และหลังจากนั้นจะมีการพบตัวคนเอชียใต้มากขึ้นในปฏิบัติการกวาดล้างสแกมเมอร์ในกัมพูชา

ขอย้อนกลับไปช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งตำรวจกัมพูชาแสดงอาการงอแงเพื่อทางไทยตัดสายโทรคมนาคม และยังนั่งยันนอนยันว่า "กัมพูชาไม่มีพวกสีเทา" 

ปรากฏว่าแค่สัปดาห์เดียวหลังจากนั้น คือวันที่  23 กุมภาพันธ์ ตำรวจกัมพูชาที่ไม่พอใจตำรวจไทยกลับหันมาร่วมมือกับตำรวจไทยเสียอย่างนั้น แล้วร่วมกันทลายศูนย์แกมเมอร์ในเมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัยจนสามารถช่วย รวบตัวชาวต่างชาติ 215 คน โดยเป็นคนไทย 109 คน ชาวปากีสถาน 50 คน ชาวอินเดีย 48 คน ชาวไต้หวัน 5 คน และชาวอินโดนีเซีย 3 คน

การที่ตำรวจกัมพูชาจู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีมาช่วยตำรวจไทย ก็คงไม่แคล้วทั้งไทยและกัมพูชาถูก "เบื้องบน" สั่งมาทั้งคู่ เพราะโปรดทราบว่าทั้งสองประเทศรวมถึงเมียนมาจะต้องประสานงานกัมเจ้าหน้าที่จีนในการกวาดล้างสแกมเมอร์แบบถอนรากถอนโคน เพราะจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพของ  'ปฏิบัติการนกนางนวล' จะไม่เอาไว้อีก 

ดังนั้น กัมพูชาจะทำเป็นส่งจีนเทาให้จีนไปดำเนินคดีเหมือนแต่ก่อน แล้วมาอุบอิบเลี้ยงธุรกิจสีเทาไว้ไม่ได้ จะต้องประสานงานตาม 'ปฏิบัติการนกนางนวล' ที่จีนเป็นผู้บัญชาการหลักอย่างไม่มีบิดพริ้ว 

ดูเหมือนว่าหลังจากกัมพูชานอบน้อมต่อจีนด้วยการส่งจีนเทาเกือบหมดประเทศไปห้จีนดำเนินคดีเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นข่าวเรื่องสแกมเมอร์ในกัมพูชาก็แทบไม่มีคนจีนเกี่ยวข้องอีก จะเหลือก็แต่คนอินเดีย (และเอเชียใต้) คนไทย และคนไต้หวันเป็นหลัก

ไต้หวันนั้นถ้าจับได้คงไม่พ้นมือจีน ส่วนไทยต้องเข้มงวดขึ้นเพราะจีนจับตาอยู่ ส่วนคนอินเดียนี่เป็นโจทย์ใหม่ที่ต้องหาทางรับมือ เพราะดูเหมือนว่าจะเข้ามาทำงานแทนจีนเทาแล้ว และ 'นายจ้าง' ในกัมพูชาก็นิยมเสียด้วย 

จากรายงานของ Bangkok Post ศูนย์สแกมเมอร์แห่งนี้เป็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในท้องถิ่น

บุคคลผู้นั้นเป็นใครยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล แต่ในกัมพูชานั้นมีบุคคลต้องสงสัยอยู่หนึ่งราย เช่น ตอนที่มีข่าวเรื่องคนงานเอเชียใต้หนีออกมาจากคาสิโนในเมืองโอร์เสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ในรายงานข่าวระบุว่าเป็นคาสิโนของ ลี ยง พัด (Ly Yong Phat) นักธุรกิจ นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลของกัมพูชา และเป็นที่ปรึกษาของ ฮุน เซน 

และมีข้อมูลว่า ลี ยง พัด เป็นนายทุนนอมมินีให้กับ ฮุน เซน ดังนั้นอะไรที่ ลี ยง พัด ทำ ย่อมโยงไปถึง ฮุน เซน ด้วย 

เมื่อเดือนกันยายน 2024 ลี ยง พัด และกลุ่มบริษัท  L.Y.P. Group ของเขาถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐอเมริกา เนื่องจากบริษัทนี้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงานในคาสิโนหลายแห่งในกัมพูชา รวมถึงคาสิโนที่ชื่อ โอร์เสม็ด รีสอร์ท (O-Smach Resort) ด้วย

โอร์เสม็ดเป็นเมืองชายแดนเหมือนปอยเปต ในขณะที่ปอยเปตติดกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โอร์เสม็ดอยู่ติดกันในตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ของประเทศไทย

จากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า "O-Smach Resort เป็นของ L.Y.P. Group ซึ่งเป็นของ ลี ยง พัด วุฒิสมาชิกกัมพูชาและเจ้าพ่อธุรกิจ เป็นเวลากว่า 2 ปี ตั้งแต่ปี 2022 ถึง 2024 O-Smach Resort ถูกตำรวจสอบสวนและรายงานต่อสาธารณะในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและเป็นระบบอย่างกว้างขวาง เหยื่อรายงานว่าถูกล่อลวงไปที่ O-Smach Resort ด้วยโอกาสการจ้างงานปลอม ยึดโทรศัพท์และหนังสือเดินทางเมื่อเดินทางมาถึง และถูกบังคับให้ทำงานในธุรกิจหลอกลวง ผู้ที่โทรขอความช่วยเหลือรายงานว่าถูกทุบตี ทำร้ายร่างกายด้วยไฟฟ้าช็อต ถูกบังคับให้จ่ายค่าไถ่จำนวนมาก หรือขู่ว่าจะขายให้กับแก๊งหลอกลวงออนไลน์อื่นๆ มีรายงานเหยื่อ 2 รายที่กระโดดลงมาเสียชีวิตจากอาคารภายใน O-Smach Resort"

และ "หน่วยงานท้องถิ่นได้ดำเนินการกู้ภัยที่ O-Smach Resort ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงในเดือนตุลาคม 2565 และมีนาคม 2567 โดยสามารถช่วยเหลือเหยื่อจากหลายสัญชาติ ได้แก่ ชาวจีน ชาวอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม"

รายงานนี้ยังอ้างถึงสำนักงานตรวจสอบและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2024 ได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ประจำปี (TIP Report) ซึ่งเน้นถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา "โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองโอร์เสม็ด และเกาะกง" โดยรายงาน TIP ระบุว่า "การทุจริตและการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าหน้าที่ในอาชญากรรมการค้ามนุษย์ยังคงแพร่หลาย ... รวมถึงการใช้แรงงานบังคับในการหลอกลวงทางออนไลน์ ผู้ค้ามนุษย์บังคับให้เหยื่อทำงานนานถึง 15 ชั่วโมงต่อวัน และในบางกรณีก็ "ขายต่อ" เหยื่อให้กับการหลอกลวงอื่นๆ หรือทำให้เหยื่อตกเป็นเหยื่อในคดีค้ามนุษย์เพื่อการค้าประเวณี"

นอกจากโอร์เสม็ดแล้ว รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังเอ่ยถึจังหวัด/เมืองเกาะกง ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของ ลี ยง พัด เนื่องจากเขาเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดเกาะกง อันเป็นดินแดนเดิมของประเทศไทย เขามีชื่อไทยว่า 'พัด สุภาภา'  และว่ากันว่าเขาถือสองสัญชาติ คือ ไทยและกัมพูชา ทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเทืองของทั้งสองประเทศ 

เราจะเห็นได้ว่า ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เห็นตรงกันอยู่เรื่องหนึ่ง (ท่ามกลางความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น) นั่นคือ กัมพูชายังเป็นดินแดนที่ยังมีการค้ามนุษย์และเลี้ยงพวกสแกมเมอร์เอาไว้โดยการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดังนั้น แม้ว่าจีนจะกดดันให้กวาดล้างแค่ไหน กัมพูชาก็จะส่งแค่คนจีนไปให้จีนจัดการเพื่อให้จีน "คลายพิโรธ" ลงไป เนื่องจากกัมพูชาต้องอาศัยใบบุญของจีนหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องเงินและการเมือง 

แต่ธุรกิจสีเทาเป็นแหล่งเงินแห่งทองของนักการเมืองและคนมีสีบางคนในประเทศนี้  มันจึงเลิกได้ได้ยากและยังต้องดำเนินการต่อไป โดยพึ่งพาคนจีนน้อยลง อาศัยคนไทย อินเดีย และไต้หวันมากขึ้น แม้แต่การลวงคนญี่ปุ่นเข้ามาผ่านไต้หวันให้มาทำงานที่กัมพูชาก็เพิ่งจะเป็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ 

นั่นแสดงว่า 'พลวัตร' ของพวกสีเทาในกัมพูชาได้วิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เพื่อหนีการกดดันจากจีน ซึ่งเราต้องคอยดูว่าการทำแบบนี้จะทำให้จีนขยี้กัมพูชาต่อหรือไม่ 

แต่สิ่งหนึ่งที่จีนไม่มีก็คือ จีนไม่ทำการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่กัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาเหมือนกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำ และรัฐบาลสหรัฐฯ ยังทำการสอบสวนอย่างละเอียดและเปิดเผยผลการสอบสวนอย่างละเอียดด้วย ทำให้เรารู้เรื่องสีเทาในกัมพูชาจากข้อมูลของฝ่ายสหรัฐฯ มากว่าฝ่ายจีน

อย่างน้อย ทั้งสองมหาอำนาจต่างก็มีหน้าที่ต่างกันแต่เป้าหมายคล้ายกัน ฝ่ายหนึ่งลงมือปฏิบัติ (จีน) ในการกวาดล้าง อีกฝ่ายสืบสวนและสอบสวน (สหรัฐฯ) จนมีข้อมูลเปิดโปงให้โลกได้รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในประเทศกัมพูชา

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2014 รถยนต์คันหนึ่งกำลังขนส่งชาวไทยไปตามถนนในเมืองปอยเปต ซึ่งเป็นเมืองชายแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดบันทายมีชัย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา ภาพโดย TANG CHHIN SOTHY / AFP

TAGS: #จีนเทา #กัมพูชา #เมียนมา