ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง กล่าวระหว่างหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (24 กุมภาพันธ์) ว่าสันติภาพไม่ได้หมายถึงการ "ยอมแพ้" ของยูเครน
แต่ต่อให้ยุโรปยืนยันนั่งยันแค่ไหน ยูเครนก็ต้อง "ยอมแพ้" อยู่ดี
เพราะผู้ที่บีบให้ยูเครนต้องยอมจำนน ก็คือ ทรัมป์ และมาครงรู้ดีว่าเขากำลังพูดด้วยอาการจำยอมเช่นกัน เพราะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ ทรัมป์ เลิกบีบยูเครนไม่ได้
ส่วน วลาดิมีร์ ปูติน ได้แต่ยิ้มรอ ถึงขนาดบอกว่ายอมให้ยุโรปส่งกำลังมารักษาสันติภาพในยูเครนได้ ซึ่งมันอาจจะฟังดูใจกว้าง แต่รัสเซียนั้นได้ชิ้นปลามันไปแล้ว ย่อมจะพูดอะไรก็ได้
ชิ้นปลามันที่ว่าคือดินแดนของยูเครนที่รัสเซียยึดได้และกำลังปกครองอยู่ นับวันยิ่งจะเขมือบไปเรื่อยๆ ในอัตราที่รวดเร็วขึ้น ส่วนดินแดนของยูเครนที่เหลือนั้นแทบไม่มีทรัพย์สินอะไรที่จะต่อรองกับมหาอำนาจได้
เหมือนย่างที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนยอมรับกับทรัมป์ว่า ยูเครนไม่มีอะไรจะให้หรอก ต่อให้ ทรัมป์ ทวงเงินช่วยเหลือบวกกับขอสิทธิ์ในการขุดแร่หายากที่ยูเครนมีสำรองเป็นอันมาก เพราะแร่ธาตุเหล่านั้นอยู่ในกำมือของรัสเซียแล้ว
ปูติน จึงสนองด้วยประกาศต้อนรับนักลงทุนอเมริกันที่อยากจะเก็บเกี่ยวแร่หายากใน "ดินแดนของรัสเซีย" ซึ่งหมายถึงแผ่นดินยูเครนที่ยึดมาได้
สรุปสั้นๆ ก็คึอ ผลประโยชน์ของ ทรัมป์ และ ปูติน ลงตัวแล้ว โดยไม่ต้องขอการรับรองจากยุโรป ยุโรปตอนนี้เป็นตัวประกอบที่เขี่ยทิ้งเมื่อไรก็ได้
ส่วนยูเครนได้แต่ยอมรับชะตากรรมของตนไป
นี่อาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เชื่อเถอะว่านี่คือธรรมชาติของการเมืองโลก ที่พลิกผันได้ตลอดเวลา หากศึกษาประวัติศาสตร์ดีๆ
การแบ่งเค้กของมหาอำนาจเป็นธรรมเนียมของมหาอำนาจตะวันตกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยที่ประเทศเล็กๆ ได้แต่รอรับชะตากรรมว่ามหาอำนาจจะเฉือนประเทศตัวเองไปให้ใครและจะลบประเทศเก่าหรือสร้างประเทศใหม่ก็ได้แล้วแต่ความเมตตาของประเทศใหญ่
เช่น สิ่งที่เรียกว่า Concert of Europe หรือการประชุมแบ่งดุลอำนาจในยุโรป ประเทศเล็กๆ หรือดินแดนที่เป็นสมรภูมิของมหาอำนาจไม่ได้มีส่วนร่วมในการแบ่งดินแดนด้วย ได้แต่รอโองการจาก "เบื้องบน" เท่านั้น ดังนั้น การที่ประเทศเล็กจะลุกขึ้นสู้เพื่ออธิปไตยของตนโดยไม่รู้จักดุลอำนาจ มักจะเป็นเรื่องที่ฝันเฟื่องที่จบลงด้วยการคว้าน้ำเหลวไปเสียทุกครั้ง
ประเทศที่เล็กที่รอดจากการบงการของมหาอำนาจได้ คือประเทศที่ใช้การทูตได้รอบจัด และรู้จักใช้ดุลอำนาจที่พวกมหาอำนาจเล่นกันเพื่อตลบหลังพวกมหาอำนาจเหล่านั้น
ดังนั้น เพื่อเอาตัวรอด ประเทศที่ฉลาดๆ มักจะไม่ยอมทำให้บ้านเมืองตัวเองเป็นสมรภูมิ แต่จะใช้การทูตที่แหลมคมเสียมากกว่า
ยูเครนพลาดตรงนี้ เพราะคิดว่า "อุดมการณ์" เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ความจริงคือการเมืองโลกนั้นมักจะจบลงที่ "ผลประโยชน์" หรือ "ปฏิบัตินิยม" มากกว่า อย่างที่เรียกว่า Realpolitk
Realpolitk คือ การเมืองเรียลๆ ที่แบ่งผลประโยชน์ ดินแดน อำนาจกัน โดยไม่ต้องพิจารณาว่า "นี่คือความถูกต้อง" หรือ "นี่คืออธรรม" เพราะแนวคิดนี้เห็น ธรรมะและอธรรม เป็นสิ่งที่ประเทศต่างๆ สมมติกันขึ้นมาเอง
เพราะถึงที่สุดแล้ว ผู้ชนะคือฝ่ายธรรมะ และผู้แพ้คือฝ่ายอธรรม
อันที่จริงแล้วการเมืองโลกไม่ได้มีอะไรที่เป็นธรรมะแท้ๆ และอธรรมถาวรเลย มีแต่มองผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง
เช่น ยุโรปและรัฐบาลก่อนๆ ของสหรัฐฯ ปากก็ประกาศว่าตนพิทักษ์เสรีภาพและสันติภาพ แต่ขยายอำนาจด้วยการหาสมาชิกนาโตไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการล้ำเส้นดุลอำนาจกับรัสเซีย การทำแบบนี้เท่ากับแสวงหาสงครามโดยตรง เพราะรัสเซียเตือนแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น เพราะเท่ากับข่มขู่รัสเซีย
องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโตนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลกับกติกาสัญญาวอร์ซอในสมัยสงครามเย็น
แต่พอสงครามเย็นยุติลงพร้อมกับการยุบกติกาสัญญาวอร์ซอ เพราะไม่มีภัคุกคามจากสหภาพโซเวียตแล้ว ชาติตะวันตกก็ยังเก็บนาโตเอาไว้ แถมยังขยายสมาชิกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปจรดเขตอิทธิพลของรัสเซีย
ดุลอำนาจจึงถูกทำลาย และเกิดสงครามขึ้นมา โดยที่ยุโรปมั่นใจว่ารัสเซียต้องแพ้ เพราะ "สหรัฐฯ เป็นเพื่อนเรา" และจะช่วยยุโรปยันรัสเซีย
แต่แล้วพวกยุโรปก็ตระหนักว่า เพื่อนแท้ไม่มีอยู่จริงในการเมืองโลก เพราะ ทรัมป์ ไม่ได้มองรัสเซียเป็นเป้าหมายที่ต้องโค่นล้ม รัสเซียนั้นอ่อนแอจนไม่ใช่ภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ยุโรปหวั่นกลัวก็ตาม แต่สหรัฐฯ จะไม่ยอมเล่นเกมดุลอำนาจของยุโรปที่เน้นอุดมการณ์มากกว่าประโยชน์ใช้สอยทางการเมือง
เป้าหมายของ ทรัมป์ คือการดึงรัสเซียออกจากพันธมิตรกับจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพูดมาตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ ทรัมป์ เสนอให้รัสเซียกับสหรัฐฯ ลดงบประมาณทางการทาร ซึ่ง ปูติน ยอมรับด้วยดี แต่แทนที่จะคุยกันสองประเทศเพราะควรจะเป็นเรื่องข้อตกลงสันติภาพในยูเครนมากกว่า ทรัมป์กลับไปดึงจีนเข้ามาด้วยโดยขอให้จีนลดงบทหารเช่นกัน ซึ่งจีนไม่เล่นด้วย
เจตนานั้นชัดเจนมากว่า ทรัมป์ ทอดทิ้งยุโรปเป็นเบี้ยที่ไร้ความหมาย ก็เพื่อดึงรัสเซียออกจากจีน และรัสเซียก็เล่นตามเกมด้วย (เพราะช้ำจากสงครามเต็มทีแล้ว) ส่วนยูเครนนั้นไม่อยู่ในสายตาเอาเลยด้วยซ้ำ
นี่คือนิสัยทางการเมืองที่แท้จริงของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติของการกลับไปกลับมาตลอดเวลา
ตัวอย่างชัดๆ คือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คนอเมริกันเบื่อหน่ายที่ถูกยุโรปดึงเข้าไปร่วมในมหาสงคราม จึงแสดงท่าทีที่ไม่เป็น "ธรรมะและอธรรม" มากขึ้นกับเรื่องในยุโรป ถึงขนาดว่ามีนายทุนอเมริกันที่ขับเคลื่อนประเทศหันไปให้การสนับสนุนการผงาดขึ้นมาของนาซีเยอรมัน เพราะเห็นว่านาซีจะคอยยันพวกบอลเชวิก (คอมมิวนิสต์รัสเซีย) ซึ่งพวกอเมริกันมองเป็นปีศาจตัวร้าย
แต่ต่อมาสหรัฐฯ แสดงท่าทีชัดเจนมากขึ้นว่าจะช่วยยุโรปที่กำลังเข้าตาจน ส่วนคอมมิวนิสต์รัสเซียกลายเป็นศัตรูกับพวกนาซีแล้ว สหรัฐฯ จึงหันมาป็นมิตร (แบบระแวงๆ) กับพวกคอมมิวนิสต์รัสเซียเพื่อสู้นาซี นัยว่า "ศัตรูของศัตรูคือมิตร" แต่ใจหนึ่งก็อยากให้ศัตรูทั้งสองพังพินาศไปด้วยกัน
ท่าทีนี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในคำกล่าวของวุฒิสมาชิกแฮร์รี่ ทรูแมน (ที่ต่อมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ว่า “ถ้าเราเห็นว่าเยอรมนีกำลังชนะ เราก็ควรช่วยรัสเซีย และถ้ารัสเซียกำลังชนะ เราก็ควรช่วยเยอรมนี และด้วยวิธีนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันให้ได้มากที่สุด แม้ว่าผมไม่อยากเห็นฮิตเลอร์ได้รับชัยชนะไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม”
เมื่อสิ้นสงครามแล้ว สหรัฐฯ จึงหันมาเป็นศัตรูกับคอมมิวนิสต์รัสเซีย โดยผลิตอาวุธทำลายล้างสูงที่พัฒนาขึ้นมาโดยนักวิทยาศาสตร์นาซี
ยุโรปกลายเป็น "มิตร" สำคัญในการต้านทานคอมมิวนิสต์รัสเซีย นี่คือที่มาของการสถาปนานาโตขึ้นมา
แต่ในเวลาที่สหรัฐฯ เกลียดคอมมิวนิสต์เข้าเส้น ก็ดันยอมเป็นมิตรกับคอมมิวนิสต์จีนที่ทะเลาะกับคอมมิวนิสต์รัสเซีย เพื่อที่จะรวมพลังกันบีบคอมมิวนิสต์รัสเซีย
หลังจากคอมมิวนิสต์รัสเซียพังพินาศ สหรัฐฯ ก็เริ่มหันมาเพ่งเล็งจีนที่ไม่ยอมเป็นคอมมิวนิสต์ที่ล่มสลาย แต่กลับแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่รัสเซียอยู่ดีๆ แบบหมีที่บอบช้ำ ยุโรปที่มั่นใจกับการขยายอุดมการณ์เสรีนิยมก็ขยายสมาชิกนาโตเสียอย่างนั้น ทำให้หมีที่บอบช้ำกลายเป็นหมีที่บ้าคลั่ง กระทั่งก่อสงครามยูเครนขึ้นมา โดยที่ยุโรปยังมั่นใจว่าเอาอยู่ เพราะสหรัฐฯ เป็นมิตรของเรา
แต่ล่าสุด สหรัฐฯ ในยุคของทรัมป์ก็หันมาเป็นมิตรกับรัสเซียเสียอย่างนั้นและทอดทิ้งยุโรป (พร้อมสั่งสอนยุโรปอีกด้วยว่าทำร้ายตัวเอง) ทั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะแยกรัสเซียออกจากสภาวะพันธมิตรกับจีน
นี่คือประวัติศาสตร์สั้นๆ ของการกลับไปกลับมาของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนการเมืองแบบเรียลๆ ในฉากหลัง แต่ฉากหน้านั้นสหรัฐฯ บอกกับโลกว่า "เราคือคบไฟแห่งเสรีภาพ" และโลกตะวันตกทั้งมวลคือเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเรา
น่าสงสารยุโรปที่หลงเชื่อว่าสหรัฐฯ จะเป็นมิตรกับตัวเองไปชั่วกัลปาวสาน
อาจเป็นเพราะยุโรปมองประวัติศาสตร์เป็นเส้นตรงที่เสรีนิยมจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ (ซึ่งหมายถึงการล่มสลายของระบอบอำนาจนิยมทั้งหมด รวมถึงรัสเซียและจีน) แต่ที่จริงแล้วประวัติศาสตร์มักจะวนไปวนมาอยู่ที่เดิมที่แหละ ยุโรปจึงพลาดไปในเกมอำนาจล่าสุด
ส่วนจีนนั้นไม่ต้องห่วง เพราะสงวนท่าทีไปหมดแล้วทั้งต่อยุโรป รัสเซีย สหรัฐฯ เพราะจีนผ่านประสบการณ์เรื่องนี้มาเยอะ
การเมืองระหว่างประเทศของจีนนั้นเล็งผลที่จับต้องได้มากกว่า ไม่เหมือนยุโรปที่มักจะเอาอุดมการณ์มาบังหน้า ซึ่งถ้าพลาดขึ้นมาแล้วคิดจะเปลี่ยนท่าที ก็เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better