ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของขบวนการทวงคืน ดินแดน'คนไท'เพื่อ'คนไทย'(Pan-Thai) 

ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของขบวนการทวงคืน ดินแดน'คนไท'เพื่อ'คนไทย'(Pan-Thai) 

ข้อมูลนี้เป็นรายงานของ CIA ว่าด้วย ขบวนการทวงคืนดินแดนของคนไทย หรือขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย (Pan-Thai) ที่เคยรุ่งเรืองในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน ซึ่งปัจจุบันแนวคิดของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยกลายเป็นเรื่องล้าสมัยและยังถูกโจมตีโดยนักวิชาการที่ "ไม่ชาตินิยม" ในยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้แนวคิดนี้เป็นเรื่องที่น่าเยาะเย้ยในสายตาของ "ผู้ต่อต้านชาตินิยม"

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสต้องการดินแดนไทยของเพื่อนบ้านบางประเทศ ทำให้เราคารจะหันมาศึกษาแนวคิดของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยอีกครั้ง เพื่อสะท้อนสิ่งที่ไทยเคยเป็นมาก่อน และหาทางรับมือกับสิ่งที่เพื่อนบ้านกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะหากยังผลักดันแนวคิดชาตินิยมที่รุนแรงแบบนี้ต่อไป ก็อาจนำไปสู่สิ่งที่ขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยเคยประสบมาก่อนในช่วงทศวรรษที่ 1930 - 1940 นั่นคือ "สงคราม"

รายงานของ CIA ชิ้นนี้แม้ว่าจะเขียนขึ้นมานานหลายทศวรรษแล้ว (11 สิงหาคม 1953) แต่ยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าในทางประวัติศาสตร์และการเมือง เพราะมุ่งเน้นให้ผู้บริหารประเทศของสหรัฐฯ เข้าใจถึงกระแสชาตินิยมของไทย โครงสร้างของขบวนการ และเป้าหมายของขบวนการนี้ สำหรับคนไทย นี่คือเอกสารชิ้นสำคัญที่จะเล่าเรื่องราวในช่วงหนึ่งที่ "ชาตินิยม" เคยเป็นอุมดการณ์ชั้นสูงสุดของประเทศมาก่อน 

รายงานนี้มีชื่อว่า The Pan-Thai Movement: An assessment of the movement to reunite Thailand and its lost territoeries

เนื้อหามีดังนี้

ขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

I. ประวัติความเป็นมาของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

ขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยคืออะไร?
ขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย (Pan-Thai) คือดินแดนของราชอาณาจักรไทยที่กลุ่มนิยมความเป็นไทยอ้างว่าถูกอังกฤษและฝรั่งเศสยึดไปจากประเทศไทยโดยใช้กำลัง

เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใดบ้าง?
พื้นที่ที่ขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยอ้างว่าถูกขโมยไปจากประเทศไทย 4 ส่วน ซึ่งเสียไป 7 ครั้ง

1. ค.ศ. 1800 (พ.ศ. 2343) เสียให้บริเตนใหญ่ พื้นที่ส่วนหนึ่งของคอคอดกระซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของพม่าและบริเวณรอบปีนัง, มาเลเซีย 
2. ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) เสียให้ฝรั่งเศส พื้นที่ภาคตะวันออกของกัมพูชา และเกาะชายฝั่งทะเล 6 แห่ง
3. ค.ศ. 1888 (พ.ศ. 2431) เสียให้ฝรั่งเศส พื้นที่สิบสองจุไท
4. ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2436) เสียให้ฝรั่งเศส พื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
5. ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) เสียให้ฝรั่งเศส พื้นที่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบางและปากเซ
6. ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เสียให้ฝรั่งเศส พื้นที่พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ
7. ค.ศ. 1909 (พ.ศ. 2452) เสียให้บริเตนใหญ่ พื้นที่กลันตัน ตรังกานู เคดาห์ และเปอร์ลิสและเกาะใกล้เคียงนอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมลายา 

แม้ว่าจะมีการอ้างอิงถึงชาวไทยที่อาศัยอยู่ในมณฑลยูนนานบ่อยครั้ง แต่ก็ต้องย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ. 1253 จึงจะก่อตั้งรัฐของคนไทยในยูนนาน ไม่ใช่เขตปกครองที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาลปักกิ่ง พื้นที่สิบสองจุไทมีพรมแดนติดกับยูนนาน และแท้จริงแล้วเป็นส่วนขยายของอาณาจักรยูนนานที่เคยเป็นอาณาจักรไทยโบราณ

ความซับซ้อนหลักและจุดที่น่าสงสัยในการใช้เหตุผลขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย คือ ในเวลานั้นดินแดนกัมพูชาและลาวตกเป็นของฝรั่งเศส ทั้งสองนั้นเป็นดินแดนอิสระและมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง และยอมทำตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส หลังจากนั้น ไทยถูกฝรั่งเศสบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาที่รับรองการเป็นผู้อารักขาของฝรั่งเศสในดินแดนเหล่านั้น

ขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
งานวิจัยไม่พบการเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยก่อนปี ค.ศ. 1939 แม้ว่าแนวคิดนี้จะมีอยู่ในใจของชาวสยามจำนวนมากมายมาหลายปีก่อนหน้านั้น ในช่วงเวลานี้เองที่ได้มีการประกาศเปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นประเทศไทยเป็นครั้งแรก ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็คือ แม้ว่าคำว่าสยามจะหมายถึงอาณาจักรที่ดำรงอยู่ในขณะนั้นก็ตาม แต่ชื่อประเทศไทย ("เมืองไทย") แปลว่า “ดินแดนของคนไทย” (Thai) หรือ “ดินแดนของคนเสรี” สะท้อนถึงการเป็นรัฐสำหรับชาวไท (Tai) ทั้งหมดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1939-1940 มีการกำหนดอย่างเป็นทางการในทุกระดับ นโยบายของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยแสดงออกโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนและในเอกสารเผยแพร่อย่างเป็นทางการของรัฐบาล ซึ่งเอกสารเผยแพร่อย่างเป็นทางการส่วนใหญ่จัดทำโดยกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลไทย เอกสารเผยแพร่ที่น่าสนใจฉบับหนึ่งที่จัดทำโดยกลุ่มนี้คือ How Thailand Lost Her Territories to France (ประเทศไทยสูญเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสได้อย่างไร?) ซึ่งมีแผนที่ชุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นประเทศไทยพร้อมพรมแดนซึ่งรวมถึงดินแดนทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส และการสูญเสียดินแดนเหล่านี้ไปทีละน้อย งานดังกล่าวปรากฏอีกครั้ง เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารขนาดใหญ่ที่เขียนโดยหลวงวิจิตรวาทการ ผู้ดำรงตำแหน่งสูงหลายตำแหน่งในรัฐบาลไทยและวงการการศึกษาของไทย งานชิ้นหลังมีชื่อว่า Thailand's Case งานทั้งสองชิ้นประณามอย่างรุนแรงถึง "การรุกราน" ของฝรั่งเศสที่ละเมิดดินแดนไทย

ผลงานของหลวงวิจิตรวาทการเหล่านี้ ร่วมกับแผ่นพับและหนังสือของนักเขียนไทยคนอื่นๆ ในสมัยนั้น ล้วนเป็นส่วนประกอบสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งชาวสยาม (ไทย) ชาวไทใหญ่ ชาวลาว และชนเผ่าเล็กๆ อีกจำนวนหนึ่งในภาคเหนือของลาว คือคนไท และงานเขียนของพวกเขาเผยให้เห็นความเชื่อมั่นว่าการที่จะกล่าวโต้แย้งกับเรื่องนี้นั้นเป็นไปไม่ได้

พวกเขาระมัดระวังมากขึ้นในการพูดถึงชาวกัมพูชา เนื่องจากคำว่าเขมรที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีนัยความหมายถึงเผ่าพันธุ์ที่ตแตกต่างและเก่าแก่ คือ ชาวกัมพูชา เช่น ขบวนการเขมรอิสระ (Khmer Issarak) ในปัจจุบันที่หมายถึงชาวกัมพูชา และนักเขียนชาวไทยมีตัวอย่างคำกล่าวที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพิสูจน์การอ้างสิทธิ์ของพวกเขาว่าเป็นชาวไทยกัมพูชา ดังต่อไปนี้ จากหนังสือ Thai-Khmer Racial Relations (ความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติไทย-เขมร) ของหลวงวิจิตรวาทการ ว่า  “เราคนไทยในเมืองไทยไม่เคยพยายามที่จะลบชื่อ ‘กัมพูชา’ ยืนยันว่าชาวกัมพูชาและชาวไทยเป็นชนชาติเดียวกัน ชาวกัมพูชาในปัจจุบันไม่ใช่ชาวเขมรโบราณอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเลือดไทยได้แทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดของพวกเขาแล้ว" หนังสือ Thailandland's Case ของหลวงวิจิตรวาทการอ้างข้อมูลจากหนังสือ The Tai Race Elder Brother of the Chinese (เชื้อชาติไทคือพี่ใหญ่ของชาวจีน) ของหมอดอดด์ (William Clifton Dodd) ว่าเลือดไทยเริ่มผสมกับเลือดเขมรในราวศตวรรษที่ 5 นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงรากศัพท์ของคำว่ากัมพูชา ซึ่งมาจากคำว่า "กัมพุชะ" ซึ่งแปลว่า "เกิดในแหลมทอง" ซึ่งเป็นชื่อโบราณที่หมายถึงคาบสมุทรอินโดจีน  คนอื่นๆ ก็ได้ให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน

หลวงวิจิตรวาทการยังอ้างอิงถึงเชื้อชาติไทยจากหนังสือ Le Cambodge (ว่าด้วยกัมพูชา) ของอัยโมนิเยร์ (Aymonier) ในผลงานของเขา Thailand's Case ว่า "ครอบครัวชาติพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวไทหรือไทย ชื่อมีความหมายไม่ว่าจะถูกจะผิดก็ตาม แปลว่า เสรี เสรีชน มีสาขาจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองด้านภาษา สาขาหลักของตระกูลนี้คือ ชาวฉาน ชาวลาว ลาวลื้อ ชาวภูไท และชาวสยาม นานก่อนที่ตระกูลนี้จะอยู่ในที่ราบสูง ยูนนาน ทิเบตตะวันออก ตามแนวลาดของเส้นทางน้ำ ครอบครองหุบเขาหลายแห่งในภาคใต้ของจีน และเคลื่อนย้ายลงสู่ภาคใต้ด้วยการหลั่งไหลอันทรงพลังครอบคลุมที่ราบเกือบทั้งหมดของอินโดจีน ขับไล่ชนพื้นเมืองที่อ่อนแอกลับเข้าไปในป่าและบนภูเขา ที่เหลืออยู่เพียงชายฝั่งเล็กๆ และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำขนาดใหญ่เท่านั้น เหลือไว้แต่ชาติที่เจริญแล้วซึ่งรู้จักในชื่ออันนัม (เวียดนาม) จาม กัมพูชา มาเลย์ พะโค (มอญ) และพม่า" 

คำกล่าวข้างต้นเป็นคำกล่าวโดยทั่วไปที่กล่าวหรืออ้างโดยพวกชาตินิยมสุดโต่ง (Chauvinistic) ทศวรรษที่ 40 กระแสของงานเขียนเหล่านี้ซึ่งได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการนั้น มีประเด็นสำคัญมากคือ การกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปให้ฝรั่งเศสสคืนมา" คนสุดโต่งบางคนเรียกร้องดินแดนลาวและกัมพูชาทั้งหมด ส่วนคนอื่นที่สงวนท่าทีเพียงแค่เรียกร้องให้การปรับปรุงขอบเขตตามแนวร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขงและการโอนพื้นที่เล็กๆ หลายแห่ง มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ของรัฐฉานหรือมาเลย์ เหตุผลก็ชัดเจน เพราะแม้อังกฤษต้องเผชิญการโจมตีทางอากาศอย่างหนัก (ในช่วงสงครามโลกคัร้งที่ 2) แต่ยังคงแข็งแกร่ง ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศที่แตกแยกและพ่ายแพ้ นำโดยจอมพลเปแต็ง แห่งรัฐบาลวีชีหุ่นเชิดของนาซี และเนื่องจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรฝ่ายอักษะสนับสนุนการเรียกร้องของไทย เพื่อที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างไทยและฝรั่งเศส ไทยคิดว่าเยอรมนีจะกดดันให้วิชียอมจำนน เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่ามีบางคนอ้างว่าการอ้างดินแดนจากฝรั่งเศสเป็นแนวคิดแรกเริ่มมาจากญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาสนธิสัญญายกส่วนหนึ่งของอินโดจีนให้ไทย และญี่ปุ่นได้ยุยงให้เกิดการจลาจลเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ 

ผู้นำสำคัญและองค์กรสำคัญในขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยในช่วงต้นทศวรรษ? 40 คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งอยู่เบื้องหลังและทำอย่างเปิดเผย ตัวหลักคือพลตรี หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี และตอนนี้ก็กลับมาเป็นอีกครั้ง (ตอนนี้หมายถึงเวลาที่เขียนเอกสารนี้) เขาเป็นผู้นำและโฆษกของขบวนการนี้ 

หลวงวิจิตรวาทการถือว่าเป็นนักเขียนชั้นนำในขบวนการ ในบรรดาตำแหน่งต่างๆ ที่เขามีช่วงก่อนปี ค.ศ. 1941 คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, อธิบดีกรมศิลปากร , เลขาธิการราชบัณฑิตยสภา, ประธานคณะกรรมาธิการกิจการกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และผู้บรรยายวิชาประวัติศาสตร์การเมืองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ต่อมาหลวงวิจิตรวาทการได้เป็นผู้นำพรรคธรรมาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมที่แข็งขันและผู้สนับสนุนที่แน่วแน่ต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรวาทการได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี ค.ศ. 1951 แต่ถูกถอดจากคณะรัฐมนตรีในปี  ค.ศ. 1952 เพราะกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการส่งออกข้าว ในเดือนกรกฎาคม  ค.ศ. 1952 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำอินเดีย เขายังมีบทบาทในทางการเมืองอยู่ และอาจยังเป็นพวกขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยที่เหนียวแน่นเหมือนเดิม

M. Sivaram (นักข่าวและนักเขียนชาวอินเดียในศตวรรษที่ 20 ที่เป็นที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง) ผู้เขียนหนังสือ Mekong Clash and Far East Crisis (การปะทะกันที่แม่น้ำโขงและวิกฤตการตะวันออกไกล) เมื่อปี ค.ศ. 1941 ในรูปแบบเดียวกับหนังสือของวิชิต ยังได้เขียนงานอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหลายชิ้น เชื่อกันว่าขณะนี้เขาอยู่ในอินเดีย

ดิเรก ชัยนาม ผู้บรรยายเรื่องความเป็นไทยในหลายๆ ครั้งในปี  ค.ศ. 1940 ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจอมพล ป. พิบูลสงคราม จากนั้นมา เขาได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกรุงลอนดอน (ในปี ค.ศ. 1947)  และในฐานะผู้แทนในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในปี ค.ศ.1948 เขาเป็นผู้นำในการพยายามยึดอำนาจของกองทัพเรือไทยที่ประสบกับความล้มเหลว แต่ข้อกล่าวหานี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ในปี ค.ศ. 1950 เขาเขียนบทความให้กับนิตยสารเสรีนิยมที่มีมุมมองที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน โดยใช้นามปากกาว่า ดัชนี ในปี ค.ศ. 1952 เขาได้จัดให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มเสรีไทยที่นำโดยอดีตนายกรัฐมนตรีปรีดี ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1953 มีรายงานว่าเขาจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อบรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและศาสนา และความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ เป็นเวลา 8 เดือนไม่ทราบว่าเขามีบทบาทสำคัญในความเคลื่อนไหวของไทยในปัจจุบันมากเพียงใด

พล.ต.ประยูร ภมรมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นและยังคงเป็นเพื่อนสนิทและผู้สนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงครามอย่างแข็งขัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 จนกระทั่งการยุบเลิกเมื่อสิ้นสุดสงคราม ประยูรเป็นหัวหน้ากลุ่มยุวชนที่สนับสนุนชาตินิยมไทย ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่สนับสนุนกลุ่มไทยนิยมตามแบบอย่างขบวนการยุวชนฮิตเลอร์ในเยอรมนี เขายังคงมีบทบาทอย่างมากในแวดวงการเมืองไทย และในปี ค.ศ. 1952 เขาเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาเพื่อเจรจาเงินกู้จากธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนา

ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ยุวชน และสาขาของเด็กผู้หญิง คือ ยุวนารี ถูกยุบเลิกหลังสงคราม เนื่องจากขาดการสนับสนุนเพียงพอ ความพยายามฟื้นฟูจึงล้มเหลวในปี ค.ศ. 1948 เชื่อกันว่าอดีตสมาชิกกลุ่มนี้หลายคนอยู่ในกองทัพในปัจจุบัน  

กลุ่มสำคัญอีกกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนการอ้างสิทธิเหนือฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1940 คือ กลุ่มเลือดไทย ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งที่สนับสนุนการยึดคืนประเทศลาวและกัมพูชาด้วยกำลัง กลุ่มนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ระหว่างสงคราม แต่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในปี ค.ศ. 1946 ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับกิจกรรมปัจจุบันของกลุ่มนี้ หรือไม่ทราบว่ากลุ่มนี้ยังคงมีอยู่จริงหรือไม่

อาจมีกลุ่มอื่นๆ ที่เคยหรือปัจจุบันมีส่วนร่วมในกิจกรรมของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย แต่กลุ่มที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับการเปิดเผยจากการวิจัย

II. ข้อบ่งชี้ถึงการมีอยู่ในปัจจุบันของขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
ปัจจุบันไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของขบวนการแพนไทยดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อดีตผู้นำของขบวนการซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในปี ค.ศ. 1940 ยังคงมีบทบาท พวกเขายังคงโดดเด่น บางคนมีอำนาจมากกว่าเดิม และไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาเปลี่ยนมุมมองของตนแล้วจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้นำขบวนการในปี ค.ศ. 1940 กลับมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลอีกครั้ง เขาและพวกพ้องถูกเรียกขานว่าเป็นชาตินิยมสุดโต่ง (ultra-nationalist) ชาตินิยมที่มองผูอื่นด้อยกว่า (chauvinstic) หรือพวกนักฉวยโอกาส (opportunist) ประจักษ์พยานสองประการของการฟื้นตัวที่เป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวดังกล่าวกำลังใกล้จะเกิดขึ้นมาแล้ว นั่นคือ การเคลื่อนไหวของเวียดมินห์ในลาวและกัมพูชา และการจัดตั้งเขตปกครองตนเองของคนไทในมณฑลยูนนานทางตอนใต้โดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน

รายงานล่าสุดยังระบุถึงความเป็นไปได้ที่ขบวนการรัฐฉานอิสระจะเชื่อมโยงกับขบวนการรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ ระหว่างทั้งสองขบวนการนี้ ขบวนการเรียกร้องเอกราชของรัฐฉานดูเหมือนจะมี 3 ฝ่าย โดยแผนการเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกเสนอต่อกลุ่มชาตินิยมจีน กลุ่มคอมมิวนิสต์จีน และผู้นำรัฐฉาน .... 
 
(มาถึงตอนนี้รายงานของ CIA ถูกถมดำปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการเอกราชรัฐฉานและสถานการณ์ในพม่า หลังจากนี้จะเป็นปฏิกริยาของไทยเกี่ยวกับการสถาปนาเขตปกครองตนเองชนชาติไทในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในตัวมันเอง และควรที่จะกล่าวถึงเป็นการเฉพาะต่อไป) 

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better 

Photo - จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม จากนิตยสาร Thailand Illustrated เดือนเมษายน พ.ศ. 2416

TAGS: #ดินแดนไทย #ชาตินิยม #Pan-Thai