เมื่อเดือนมกราคม มาร์โค รูบิโอ ที่เพิ่งได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การกับสภาคองเกรส เรื่องสำคัญที่เขาย้ำกับสภาก็คือต้องล็อบบี้ไม่ให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน
เขาบอกว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นคือพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริง เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสำคัญและใกล้ชิดกันมาก”
รูบิโอ มั่นใจมากกว่าเขาจะใช้บารมีของสหรัฐที่มีต่อไทยสกัดกั้นการส่งตัวอุยกูร์ไปจีน ในช่วงเวลาที่ประเด็นอุยกูร์เป็นวาระของชาติตะวันตกอีกครั้งในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา
แต่หนึ่งเดือนหลังจากนั้น รูบิโอ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่าการทูตของสหรัฐฯ เละเทะไปหมด รวมถึงความหวังที่จะเห็นไทยเป็นพัธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ด้วย เพราะไทยส่งอุยกูร์ให้จีนไปแล้ว
พูดง่ายๆ คือภารกิจแรกของ รูบิโอ ในการรักษาพันธมิตรล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นจากที่ต้องการจะรักษาไทยในฐานะพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ รูบิโอกล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับประเทศจีน”
และกล่าวว่าไทยเสี่ยงที่จะ “ละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ” ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของสหประชาชาติและอนุสัญญาโลกอื่นๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย “ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอย่างเต็มที่” ว่าทางการจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่
แต่ รูบิโอ พูดขู่ไทยได้แค่วันเดียวก็ต้องไปนั่งปวดหัวในห้องโอวัลออฟฟิศในทำเนียบขาว ระหว่างที่ไปเป็นประจักษ์พยานการฟาดปากระหว่างเซนเลนสกี้กับทรัมป์และแวนซ์ ภาพที่เขานั่งหน้าซีดระหว่างการโต้เถียงกัน สะท้อนได้ดีว่าจากนี้ รูบิโอ ไม่ว่างมาสนใจเรื่องอุยกูร์อีก (อย่างน้อยก็ช่วงนี้) เพราะเขาต้องไปขับเคลื่อนดีลระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯ อีกครั้งหลังจากมันพังไม่เป็นท่าเมื่อวันศุกร์
แม้ รูบิโอ จะต้องไปสะสางกรณียูเครนให้เสร็จก่อน แต่ระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คงจะได้รับการมอบหมายงานเอาไว้แล้วว่า "ควรทำอย่างไรต่อไปกับไทยดี?" นั่นคือประณามไทยนั่นเอง
แ่ต่มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นก็มี "คำเตือน" จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ ในกรุงเทพ ว่า
"...รัฐบาลไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 45 คนกลับประเทศจีน การเนรเทศในลักษณะเดียวกันนี้เคยก่อให้เกิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากการเนรเทศชาวอุยกูร์ออกจากประเทศไทยในปี 2015 ได้เกิดเหตุอุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณในกรุงเทพฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 รายและบาดเจ็บอีก 125 ราย เนื่องจากศาลแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก (จึงตกเป็นเป้าหมายของพวกอุยกูร์)" ดังนั้น ทางสถานทูตจึงแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ ในไทยว่า "เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านซึ่งนักท่องเที่ยวมักไป เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้"
คำเตือนนี้ จะว่าไปก็เหมาะสมในแง่ "กันไว้ก่อน" แต่มันอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้ "ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ"
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยบอกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้อ่านเงื่อนไขของทางจีนแล้วว่าจะให้ดำรงชีวิตตามปกติ จึงยอมสมัครใจกลับจีนเอง ซึ่งจะจริงไม่จริงนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน แต่ถ้าอิงตามนี้ว่าสมัครใจกลับเอง แล้ว "ใครกันแน่ที่จะเดือนร้อนแทนคนเหล่านี้จนต้องก่อการร้ายในไทย?"
การทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งทำให้ไทยเข้าใกล้จีนเข้าไปอีก หรืออาจบีบต้องมีปฏิบัติการใหม่ระว่างไทย-จีนที่กวาดล้างผู้ก่อการร้ายเพิ่มเติมจากตอนนี้ที่กำลังร่วมมือกวาดล้างสแกมเมอร์
และถ้าชาวอุยกูร์เหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดการก่อการร้ายในไทยขึ้นมาจริงๆ การส่งไปให้จีนก็ยิ่งชอบธรรม เพราะเท่ากับว่าถ้าส่งตัวคนเหล่านี้ออกไปตะวันตกหรือตุรกีหรือตะวันออกกลาง ไม่กลายเป็นการ "ปล่อยเสือเข้าป่า" หรอกหรือ? เพราะชาวอุยกูร์ที่ไปทางตะวันตก ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแอ็กทิวิสต์เชิงสันติ แต่ที่ออกไปรบในตะวันออกกลางมีเป็นพันคน และตอนนี้ฮึกเหิมอยากจะก่อญิฮาดกับจีนใจจะขาด
อีกประเทศหนึ่งที่เตือน คือกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกว่าไวกว่าสหรัฐฯ เสียอีก โดยเตือนไว้ว่า
"ในกรุงเทพมหานคร หลังจากชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศกลับประเทศจีน ในปี 2015 ได้เกิดระเบิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ศาลพระพรหมเอราวัณ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปีเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บ 125 ราย รวมทั้งชาวญี่ปุ่นด้วย ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวควรพยายามหาข้อมูลล่าสุดและดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะบริเวณรอบสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่ทางศาสนา ฯลฯ ที่มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน มักตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง"
เนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นเป็นเหยื่อการระเบิดศาลพระพรหมครั้งนั้นด้วย จึงสมเหตุผลที่ทางการญี่ปุ่นต้องเตือน และน่าสังเกตว่าเหตุผลของการเตือนของญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้นเหมือนกันอย่างมาก
แต่ก็มีบริบทแวดล้อมที่ควรทราบคือ ทางการญี่ปุ่นขู่ตอบโต้และขู่จะเล่นงานจีนมาหลายปีแล้วเรื่องที่ (พันธมิตรตะวันตก) อ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และคอยช่วยเหลือชาวอุยกูร์ จัดการประชุมชาวอุยกูร์จากทั่วโลกในญี่ปุ่น ประเด็นนี้จึงเป็น "เรื่องการเมือง" ที่ญี่ปุ่นคอยใช้กระซวกจีนมาตลอดด้วย
และไม่ใช่แค่นั้น ญี่ปุ่นยัง "ชุบเลี้ยง" พวกชาติพันธุ์ในจีนที่ไป "ลี้ภัย" ในญี่ปุ่นแล้วตั้งกลุ่มต่อต้านจีนมากมทยทั้งพวกมองโกล พวกแมนจู พวกทิเบต และอื่นๆ ไปจนถึงไต้หวัน กรณีไต้หวันนั้นญี่ปุ่นก็ยั่วยุจีนมาโดยตลอดด้วย ดังนั้น หากสอบช่องญี่ปุ่นจะโจมตีจีนโดยใช้พวกชนกลุ่มน้อยที่ตนเลี้ยงไว้
ความบ้าเลือดของญี่ปุ่นในการใช้ชนกลุ่มน้อย เช่น พวกอุยกูร์เพื่อเล่นงานจีน จะเห็นได้ชัดเจนว่า แม้แต่ไทยหากยอมร่วมมือกับจีน ญี่ปุ่นก็ไม่ละเว้นที่จะ "ส่งคำเตือน" แม้มันจะดูเหมือนเป็นคำเตือนก่อการร้าย แต่ก็อย่างที่บอกไป แต่หากการทำอะไรสักอย่างกับชาวอุยกูร์นำไปสู่การก่อการร้าย ก็ไม่ใช่ว่าชาวอุยกูร์เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือ? แล้วญี่ปุ่นควรจะเตือนใครมากกว่ากัน? แทนที่จะมาเตือนภัยที่จะเกิดในไทย เพื่อทำลายการท่องเที่ยวในไทย
ในระยะหลัง ญี่ปุ่นทำตัวไม่น่ารักกับไทยหลายครั้ง เพราะเริ่มเสียผลประโยชน์ให้กับการขยายอิทธิพลของจีน ดังนั้น คนไทยพึงตระหนักว่าญี่ปุ่นไม่ได้รักไทยจริงๆ เพราะญี่ปุ่นมีวาระทางการเมืองของตนอยู่แล้ว
ควรทราบไว้ว่าในบรรดาชนชาติในจีนที่ญี่ปุ่นเลี้ยงเอาไว้เล่นงานจีนนั้น ญี่ปุ่นเมตตากับอุยกูร์เป็นพิเสษ โดยญี่ปุ่นให้การคุ้มครองชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังญี่ปุ่น และคนเหล่านี้ได้ก่อตั้งสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น (日本ウイグル協会) ขึ้นมาเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านจีน
ผู้ให้การสนับสนุน/เป็นพันธมิตรของสมาคมอุยกูร์ญี่ปุ่น คือ สมาคมกัมบาเระนิปปง (頑張れ日本!) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่น/ฝ่ายขวาจัด และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เอียงไปทางขวาเหมือนกัน แน่นอนว่ากลุ่มนี้ก็ต่อต้านจีนเช่นกัน
หนึ่งในกลุ่มที่สนับสนุนอุยกูร์ คือ สมาชิกพรรครัฐบาล LDP เช่นที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
ยิ่งกระแสฝ่ายขวาในญี่ปุ่นเติบโตมากขึ้นเท่าไร ญี่ปุ่นจะยิ่งใช้ประเด็นอุยกูร์เล่นงงานจีนมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่า ประเทศไหนที่ร่วมมือกับจีนเกียวกับการ "ต่อต้านการก่อการร้าย" และ "การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย" ประเทศนั้นจะถูกญี่ปุ่นเพ่งเล็งไปด้วย
และมีเหตุผลที่ต้องพิจารณาเอาไว้ในใจว่า สหรัฐ ญี่ปุ่น และชาติ G7 ทั้งหมด ใช้ประเด็นอุยกูร์โจมตีและคว่ำบาตรจีน ดังนั้นประเทศที่ร่วมมือกับจีนเรื่องอุยกูร์ ก็ควรจะตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะเจอจากกลุ่มนี้เอาไว้ด้วย
สหรัฐฯ และญี่ปุ่นนั้นมองประเด็นอุยกูร์แค่เรื่องเดียว คือ "สิทธิมุนษยชน" และข้ออ้างเรื่อง "การล้างเผ่าพันธุ์" ซึ่งถูกตอบโต้จากหลายฝ่ายแล้วว่าเป็นเรื่องที่ปั้นขึ้นมาเพื่อเล่นงานจีน แต่ทั้งสองประเทศนี้ก็ยังอ้างเหตุผลเดิมๆ เพื่อที่จะสร้างความวุ่นวายในจีนนั่นเอง
ดังนั้นการอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนจึงอาจเป็นเรื่องเท็จ แต่การเตือนเรื่องก่อการร้ายอาจจะเป็นเรื่องจริง โดยที่ทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เตือนเรื่องก่อการร้ายในไทยแท้ๆ แต่ไม่เคยพูดถึงว่ายังมีพวกอุยกูร์เป็นพวกก่อการร้ายกลุ่มใหญ่เช่นกัน
โปรดทราบว่า มีกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีก่อการร้าย คือกลุ่ม ETIM ไปร่วมรบในซีเรียกับฝ่ายที่ชนะล่าสุด เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ตะวันตกบี้ไทยเรื่องจะส่งอุยกูร์พอดี ส่วนสถานทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ออกมาชี้แจงเมื่อเดือนที่แล้วว่าผู้ต้องขังชาวอุยกูร์มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และ “บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกล่อลวงโดยกองกำลังภายนอกได้หลบหนีออกนอกประเทศและเข้าร่วมกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ (ETIM) ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ”
ETIM พอเดินทางมาถึงเอเชียกลางและต่อมาถึงซีเรีย ก็เปลี่ยนร่างเป็นขบวนการ Turkistan Islamic Party (TIP)
ยิ่งหลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มเมื่อเดือนธันวาคม 2024 พวก TIP ก็ประกาศว่า "เราจะขับไล่พวกคนจีนนอกศาสนาออกไป (จากซินเจียง)” พอถึงมกราคม 2025 สื่อตะวันตกก็เริ่มประโคมไม่หยุดว่าอุยกูร์ที่ช่วยรบในซีเรียจะเล่นงานจีน เช่น The Economist ชี้ว่า Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government และ The Telegraph ที่รายงานว่า Uyghur fighters in Syria vow to come for China next (สองสื่ออังกฤษมีท่าทีต่อต้านจีนอยู่แล้ว) - รัฐบาลจีนเห็นแบบนี้คงนิ่งไม่ไหว
จากการรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทูตจีนเพิ่งพบกับผู้นำซีเรียคนใหม่ (ซึ่งมีพวกอุยกูร์ช่วยรบอยู่ในกองทัพ) ในรายงานนี้ย้ำว่า "ในปี 2015 เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่าชาวอุยกูร์จำนวนมากที่หลบหนีไปยังตุรกีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วางแผนที่จะนำญิฮาดกลับไปยังจีน โดยอ้างว่าบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "กิจกรรมก่อการร้าย""
เรื่อง ETIM ผมเพิ่งเขียนไปเมื่อไม่นานมานี้ใน The Better สามารถติดตามอ่านได้เพราะมีบริบทเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตอนนี้ระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ กับจีน โดยมีไทยเป็น "โซ่ข้อกลาง"
บางคนสงสัยว่าทำไมเราไม่ส่งตัวอุยกูร์ไปให้ตุรกี? นั่นก็เพราะตุรกีมีแนวคิดไม่เป็นมิตรกับจีนเรื่องการขยายดินแดนชาวเติร์ก โดยฝันหวานว่าดินแดนของชาวเติร์กทั้งหมด (อุยกูร์พูดภาษตระกูลเตอร์กิก) จะต้องมีตุรกีเป็นพี่ใหญ่หรือทั่งผู้นำ ดังนั้น ตุรกีจึงสนับสนุนเติร์กด้วยกันให้เป็นเอกราชแล้วมารวมกับ "พี่ตุรกี" นี่ไม่เท่ากับส่งเสริมอุยกูร์ให้เป็นขบถกับจีนหรือ? และนี่ทำให้ตุรกีและจีนมองหน้ากันไม่ค่อยติด
ยังไม่นับการที่ตุรกีเปิดทางให้พวกอุยกูร์ไปฝึกการรบและรบจริงในซีเรีย จนกระทั่งเป็นกลุ่ม TIP ที่โค่นล้มรัฐบาลอัสซาดที่เป็นอริกับตุรกีได้สำเร็จ ตุรกีนั้นช่วยเหลือพวกกลุ่มติดอาวุธเคร่งศาสนาในซีเรียมาโดยตลอดเพราะการนี้
ดังนั้น ถ้าไทยส่งอุยกูร์ให้ตุรกี ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นภัยกับจีน แต่อาจจะเป็นภัยต่อประเทศไทยด้วย เพราะก็เห็นกันอยู่ว่ากรุงเทพฯ เคยถูกก่อการร้ายมาแล้วเพราะคนกลุ่มนี้
ด้วยเงื่อนไขด้านความมั่นคง ดูเหมือนว่าไทยจะส่งให้ใครไม่ได้ทั้งนั้นนอกจากจะส่งให้จีน แต่ไทยก็พอจะมีทางเลือกเช่น แต่ครั้นจะร้องขอความช่วยเหลือจาก UNHCR ให้รับหน้าเสื่อไป แต่ทางนั้นก็บ่ายเบี่ยงอีก เพราะกลัวว่าไทยคิดจะใช้ UNHCR เพื่อเป็นเกราะป้องกันความไม่พอใจจากจีน ดังนั้น UNHCR จึงเป็นหน่วยงานที่ใช้ไม่ได้ เพราะเมื่อไทยลำบากเรื่องดูแลผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย (ที่ตะวันตกเรียกว่าผู้ลี้ภัย) แต่หน่วยงานสหประชาชาติกลับเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว เพราะ "กลัวจีน"
น่าแปลกใจที่ในขณะที่สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นอ้างเรื่องการร้ายโยงกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปจีน แต่ทางการจีนไม่ได้โยงคนเหล่านี้กับการก่อการร้ายเลย
หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวตอบผู้สื่อข่าวของ AFP ว่า "ชาวจีน 40 คนที่เข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายได้ถูกส่งตัวกลับประเทศจีน การส่งตัวกลับประเทศจะดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติทั่วไป ถือเป็นก้าวที่ทั้งสองฝ่ายดำเนินการร่วมกันเพื่อปราบปรามการลักลอบขนคนเข้าเมืองและอาชญากรรมข้ามพรมแดนอื่นๆ สิทธิและผลประโยชน์ตามกฎหมายของบุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่"
เขาเพียงแต่กล่าวว่า คนอุยกูร์เหล่านี้เข้าเมืองผิดกฎหมาย และ "การอพยพและการลักลอบขนคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายถือเป็นอาชญากรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระเบียบการข้ามพรมแดนโดยทั่วไป รัฐบาลจีนคัดค้านการลักลอบขนคนเข้าเมืองทุกรูปแบบอย่างหนักแน่น"
พูดง่ายๆ คือ จีนมองคนเหล่านี้เป็นพวกเข้าเมืองผิดกฎหมาย (ทั้งๆ ที่จีนจะบอกก็ได้ว่าอุยกูร์ที่ไปนอกประเทศ สุดท้ายจะลงเอยด้วยการร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนและก่อการร้าย) แต่สหรัฐฯ กับญี่ปุ่ยโยงเรื่องนี้กับการก่อการร้ายที่จะเกิดในไทย ทั้งๆ ที่ไม่ยอมพูดถึงกลุ่มก่อการร้ายชาวอุยกูร์ที่มีอยู่จริง และมีส่วนพิชิตรัฐบาลอัสซาดในซีเรีย เพื่อสนองผลประโยชน์ของชาติตะวันตกและตุรกี
อย่างที่บอกไปก็คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ชาติตะวันตกทั้งหมด และตุรกี ไม่ได้เป็นห่วงอุยกูร์จริงๆ พวกนี้เพียงแต่ใช้ชาวอุยกูร์เป็นประโยชน์ในเกมการเมืองเพื่อบั่นทอนความแข็งแกร่งของจีน
อย่างที่หลินเจี้ยนกล่าวว่า "กองกำลังและสถาบันทางการเมืองบางส่วนสร้างและเผยแพร่เรื่องโกหกที่เกี่ยวข้องกับซินเจียงโดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากการทำให้ซินเจียงไม่มั่นคง เรายืนหยัดอย่างมั่นคงต่อความพยายามที่จะใช้สิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงกิจการภายในของจีน"
ไม่ใช่ว่าจีนไม่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน จีนก็ใส่ใจเรื่องนี้เพียงแต่มีนิยามเรื่องสิทธิมนุษยชนต่างจากตะวันตก เพราะในขณะที่ตะวันตกเน้นว่าสิทธิมนุษยชนคือ "เสรีภาพในการดำรงชีวิต" แต่จีนเน้นที่ "โอกาสในการมีชีวิต" และจีนเองก็ไม่ได้ไร้เสรีภาพอะไร อีกทั้งแต่ละรัฐล้วนแต่มีเส้นแบ่งเรื่องเสรีภาพกันหมด จะมาเหมาว่าจีนกีดกันสิทธิเสรีภาพได้ล่ะหรือ?
อีกประการหนึ่งก็คือ ชาวโลกจับไต๋ได้แล้วว่าโลกตะวันตกไมได้ใส่ใจสิทธิมุนษยชนร่อยเปอร์เซนต์ แต่ต้องการใช้ประเด็นนี่เพื่อแทรกแซงการเมืองของชาติเป้าหมายมากกว่า ซึ่งคนไทยก็ควรจะรู้ดีในเรื่องนี้ เพราะโดนมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 90
ดังนั้น กรณีอุยกูร์จึงไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิมุนษยชน แต่เป็นเรื่องการเมืองด้วย หากไม่ไร้เดียงสาเกินไป คนไทยก็ควรจะตระหนักถึงทั้งสองแง่มุม
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพถ่ายนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2023 แสดงให้เห็นตำรวจยืนอยู่หน้าป้ายที่มีข้อความว่า ความสามัคคีของชาติคือเส้นชีวิตของผู้คนจากทุกกลุ่มชาติพันธุ์ บนถนนสายหนึ่งในเขตปกครองตนเองกัชการ์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน (ภาพโดย Pedro PARDO / AFP)