Global Times ซึ่งเป็นสื่อภาษาจีนและภาษาอังกฤษของทางการจีนที่มักจะแสดงทัศนะที่ดุดันต่อชาติตะวันตกเสมอมา เมื่อวันที่ 1 มีนาคมได้เผแพร่บทความทัศนะ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่ชาติตะวันตกประณามไทยที่ส่วตัวชาวอุยกูร์ให้กับจีน เนื้อหาของบทความทัศนะดังกล่าวโจมตีชาติตะวันตกอย่างหนัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่พยายามล็อบบี้ไม่ให่้ไทยส่วตัวชาวอุยกูร์ไปให้จีน
เนื้อหาบทความตอนหนึ่งกล่าวว่า "ชาวจีน 40 คนที่เกี่ยวข้องกับการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายได้ถูกส่งตัวกลับประเทศจากประเทศไทยเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว พวกเขาทั้งหมดได้กลับบ้านในวันศุกร์ และได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้งหลังจากแยกกันอยู่นานกว่าทศวรรษ นี่ควรจะเป็นโอกาสที่น่ายินดี" ซึ่งบทความนี้ได้แนบภาพประกอบซึ่งเป็นภาพของชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา เพื่อยืนยันว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ได้กลับบ้านจริง
แต่บทความกล่าวต่อไปว่า "อย่างไรก็ตาม ชาวตะวันตกบางส่วนเริ่มรู้สึกไม่พอใจ ถึงกับรีบเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นปัญหาที่เรียกว่า "สิทธิมนุษยชน" เสียงที่ดังที่สุดมาจากรัฐบาลวอชิงตัน ซึ่งอ้างว่าพลเมืองที่ถูกส่งตัวกลับทั้งหมดเป็นชาวอุยกูร์ และบิดเบือนความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายตามปกติให้กลายเป็นการส่งตัวกลับประเทศแบบ "บังคับ"
"พวกเขายังคงสร้างเรื่องโกหกเกี่ยวกับเขตปกครองซินเจียงอีกครั้ง และดำเนินการประณามประเทศไทยด้วย "เงื่อนไขที่เข้มงวดที่สุด" วาทกรรมนี้เหมือนกับที่ชาวตะวันตกบางคนเคยใช้ในการใส่ร้ายซินเจียง พวกเขาใช้ข้อกังวลเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" ที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของจีน ขณะเดียวกันก็กดดันทางการเมืองต่อประเทศไทย ทำให้เกิดการบิดเบือนเรื่องราวในวาทกรรมระหว่างประเทศ"
"ข้อเท็จจริงของปฏิบัติการนั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา แต่ประเด็นสำคัญบางประการถูก "มองข้าม" โดยบางคนในตะวันตก ประการแรก ชาวจีนที่ถูกส่งตัวกลับประเทศเหล่านี้ถูกหลอกลวงโดยกลุ่มอาชญากรและติดค้างอยู่ในประเทศไทยหลังจากข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย การกระทำของพวกเขาละเมิดกฎหมาย ประการที่สอง พวกเขาถูกกักขังในประเทศไทยมานานกว่าทศวรรษ ทั้งตัวพวกเขาและครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ประการที่สาม ญาติของชาวจีนที่ถูกส่งตัวกลับประเทศเหล่านี้ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประการที่สี่ สิทธิทางกฎหมายของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ รวมถึงการให้การดูแลทางการแพทย์แก่บุคคลที่ป่วยหนัก ประการที่ห้า การส่งตัวกลับประเทศดำเนินการตามหลักการของการเคารพซึ่งกันและกันและการปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียมกันระหว่างจีนและไทย"
"เห็นได้ชัดว่าการดำเนินการส่งตัวกลับประเทศเป็นไปตามมาตรฐานทางกฎหมาย แนวทางปฏิบัติระหว่างประเทศ และหลักจริยธรรมอย่างครบถ้วน"
"ในส่วนของการส่งกลับประเทศ รัฐบาลไทยได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าการส่งกลับชาวต่างชาติเป็นสิทธิอธิปไตยของประเทศไทยและดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของชาติ เป็นที่ทราบกันดีว่าการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและการลักลอบขนคนเข้าเมืองถือเป็นความผิดทางอาญาที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระเบียบการเข้าเมืองและออกประเทศตามปกติอย่างรุนแรง อาชญากรรมข้ามพรมแดนมีจำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอาชญากรรมดังกล่าว อาชญากรรม เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และการฟอกเงินมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับการย้ายถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้น การส่งกลับประเทศจึงเป็นการปกป้องหลักนิติธรรมในภูมิภาคอย่างมั่นคงทั้งจากจีนและไทยในฐานะผู้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งขึ้นเป็นองค์กร"
บทความยังย้ำว่าทั้งไทยและจีนได้ร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นมากขึ้ยในระยะหลัง เนื่องจากมีปัญหาเรื่องอาชญากรข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศ "ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตำรวจจีนและไทยได้ร่วมกันปราบปรามอาชญากรรม เช่น การค้ามนุษย์และการฉ้อโกงโทรคมนาคม และสามารถคลี่คลายคดีสำคัญได้สำเร็จ และได้จัดตั้งกลไกความร่วมมือมากมาย จนกลายเป็นจุดสว่างในความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาค ผลงานเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้าน
แต่การรับรู้เรื่องสถานการณ์ในซินเจียงมักเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาต่อจีนว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชนกลุ่มน้อยที่นั่น บทความได้ชี้แจงว่า "สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในซินเจียงเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง และข้อเท็จจริงก็ชัดเจนให้ทุกคนเห็น ในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่เจนีวาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา คิวบาซึ่งมีตัวแทนจาก 80 ประเทศ รวมถึงประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อสนับสนุนจีนอย่างแข็งขัน"
"นอกจากนี้ ประเทศอื่นๆ มากกว่า 20 ประเทศได้แสดงจุดยืนของตนในรูปแบบต่างๆ โดยรับรองจุดยืนที่ยุติธรรมของจีน และคัดค้านการนำประเด็นสิทธิมนุษยชนมาเป็นเรื่องการเมืองอย่างชัดเจน รวมทั้งใช้สิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น"
"เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกในวงกว้างของชุมชนระหว่างประเทศ ไม่ใช่ความลับที่กองกำลังทางการเมืองและสถาบันบางแห่งได้แต่งเรื่องและเผยแพร่เรื่องโกหกเกี่ยวกับซินเจียงด้วยความตั้งใจที่จะก่อความไม่สงบในภูมิภาคนี้ ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น"
กลับมาที่เรื่องของการส่งตัวชาวอุยกูร์ของฝ่ายไทย บทความนี้พยายามปกป้องไทยด้วยการช่วยตอบโต้ชาติตะวัตกและพันธมิตรที่พยายามโจมตีไทยและจีน บทความกล่าวว่า "กองกำลังตะวันตกบางส่วนที่นำโดยสหรัฐฯ ได้แต่งเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า "จีนบีบบังคับให้ไทยส่งมอบ 'ผู้ลี้ภัย' และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร้มนุษยธรรม" เป็นเรื่องแปลกที่เรื่องราวนี้ดูเหมือนจะมาจากตำราประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยตรง หากประเทศใดควรถูกสอบสวนกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ลี้ภัย ก็คือสหรัฐฯ"
บทความยังได้ตอบโต้ด้วยการยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการะเมิดสิทธิมนุษยชนที่น้อยคนจะทราบ นั่นคือการกระทำที่เรียกว่า Systematic Incarceration หรือ Mass Incarceration ซึ่งเป็นนโยบายที่สหรัฐฯ ใช้กับคนต่างสีผิวและคนต่างเชื้อชาติ บทความระบุว่า "สหรัฐฯ ได้จัดตั้งระบบกักขังผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อลดต้นทุน สหรัฐฯ มักจะว่าจ้างบริษัทเอกชนให้ก่อสร้างและดำเนินการสถานกักขังผู้อพยพ ทำให้เกิดเรือนจำเอกชนขึ้นโดยพฤตินัย ในปีงบประมาณ 2020 มีผู้เสียชีวิต 21 รายในสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ และมีรายงานว่าเด็กๆ จำนวนมากถูกกักขังในสภาพที่แออัดและน่าเวทนาคล้ายกับ "คอกปศุสัตว์" สื่ออเมริกันบางสำนักอ้างว่าประเทศไทย "ให้การช่วยเหลือ" ปักกิ่ง และการกระทำดังกล่าวถือเป็น "ชัยชนะครั้งสำคัญของจีน" ซึ่งเป็นข้อกล่าวอ้างที่สะท้อนให้เห็นทัศนคติที่รังแกเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนานของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน"
บทความนี้ยังย้ำให้เห็นถึงการใช้คำว่าสิทธิมนุษยชนมาโจมตีประเทศที่เป็นศัตรูกับชาติตะวันตกหรือไม่ยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้องของตะวันตก นั่นคือ "เมื่อจีนและไทยดำเนินการส่งตัวกลับประเทศตามกฎหมาย คนบางกลุ่มในสหรัฐฯ ประณามทันทีว่าเป็น "วิกฤตสิทธิมนุษยชน" แต่เมื่อสหรัฐฯ เองใช้แก๊สน้ำตาขับไล่ผู้อพยพผิดกฎหมาย ล่ามโซ่ตรวนผู้ถูกเนรเทศด้วยกุญแจมือ โซ่ตรวนขา และแม้แต่โซ่ที่เอว คนกลุ่มเดียวกันนี้กลับนิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเผยให้เห็นมาตรฐานสองต่อสองและความหน้าซื่อใจคดที่เห็นได้ชัดของพวกเขา"
"หลักการที่เปิดเผยและโปร่งใสซึ่งจีนและไทยแสดงให้เห็นในการร่วมมือกันบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรวมถึงมาตรการด้านมนุษยธรรม เช่น การติดต่อกับครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบ ถือเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลวิธีอันรุนแรงของสหรัฐฯ เช่น การกักขังหมู่และการเนรเทศผู้อพยพ ลองนึกดูว่าหากชาวเม็กซิกันกลุ่มหนึ่งที่ถูกแก๊งค้ายาหลอกเข้ามาในสหรัฐอเมริกา ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระในการดูแลพวกเขาเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ วอชิงตันจะตอบสนองอย่างไร"
ในเวลานี้ทั้งไทยและจีนมีความร่วมมือในด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่แนบแน่นขึ้น "ภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างจีนและไทยจะยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ความพยายามเหล่านี้จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยคำพูดที่ไม่รับผิดชอบเพียงไม่กี่คำ และจะไม่ถูกชี้นำโดยความต้องการของวอชิงตัน"
บทความทิ้งท้ายว่า "ในทางกลับกัน แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่วิธีการ "โยนความสกปรกใส่คนอื่น" สหรัฐฯ ควรจะพยายามแก้ไขความล้มเหลวในการปกครองสังคมในประเทศของตนเองบ้าง"