นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนครั้งล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับจีน ซึ่งในเวลานี้จีนก็กำลังดิ้นรนเพื่อปกป้องเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว
ประธานาธิบดีทรัมป์ที่คาดเดาไม่ได้รายนี้โจมตีคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ระหว่างการหาเสียง โดยให้คำมั่นว่าจะบังคับใช้มาตรการที่รุนแรงต่อจีนเมื่อได้รับการเลือกตั้ง
หลังจากดำรงตำแหน่งได้เพียง 6 สัปดาห์ อัตราภาษีนำเข้าใหม่ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าเป็นการตอบโต้ความล้มเหลวของรัฐบาลจีนในการหยุดยั้งวิกฤตเฟนทานิลที่ทำลายล้างในสหรัฐฯ ก็พุ่งสูงเกินวาระแรกของเขาไปแล้ว
“เรามองว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงจุดยืนที่ก้าวร้าว” ถิง ลู่ (Ting Lu) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Nomura เขียน
มาตรการที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารนี้จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% จากเดิมที่ประกาศขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว โดยอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 33% ตามการประมาณการของ Nomura
“การขึ้นภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ทำกับจีนนั้นเกือบสองเท่าของภาษีนำเข้าที่เพิ่มในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของเขา” ถิง ลู่ กล่าว
ผู้นำในจีน กำลังจับตามองสงครามการค้าครั้งใหม่กับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์อย่างกังวล เพราะจีนเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง หลังการระบาดใหญ่
สภาประชาชนแห่งชาติที่มีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเป็นทางการจะประชุมที่ปักกิ่งในสัปดาห์นี้เพื่อการประชุมประจำปีทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะหารือแผนงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาและตอบสนองต่อภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
การเติบโตในไตรมาสแรกของปีนี้มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลง จื่อชุน หวง (Zichun Huang) จาก Capital Economics กล่าว “และนั่นเกิดขึ้นก่อนที่ภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง”
“หากผู้นำไม่เปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่าที่คาดไว้ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ก็ยากที่จะเห็นว่าจะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวในปีนี้ได้อย่างไร” จื่อชุน หวง กล่าวเสริม
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกสูงถึง 25% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้
และการโจมตีจีนครั้งแรกด้วยภาษีนำเข้าสินค้า 10% เป็นจำนวน 2 ครั้งนั้นยังถือว่าต่ำกว่าอัตราภาษี 60% ซึ่งทรัมป์ขู่ที่จะใช้มาตรการนี้ในช่วงหาเสียง
บางคนตีความว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลวอชิงตันกำลังใช้วิธีการที่นุ่มนวลกว่าที่คาดไว้ในการจัดการความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับรัฐบาลปักกิ่ง
แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าจีนมีแนวโน้มที่จะเป็นศัตรูหลักด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งตอนนี้และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังวุ่นวายกับปัญหาภายในประเทศของตน และจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามรัสเซีย-ยูเครน
“แม้ว่าทรัมป์จะมีแนวโน้มที่จะทำ 'ข้อตกลง' ใหม่กับจีนเรื่องการค้าในช่วงหลัง แต่ภาพรวมก็คือประเทศนี้ยังคงตกอยู่ภายใต้เป้าหมายของเขาอย่างชัดเจน” โทมัส แมทธิวส์ (Thomas Mathews) จาก Capital Economics กล่าว
“ภัยคุกคามจากภาษีศุลกากร การควบคุมการส่งออก การจำกัดการลงทุน และอื่นๆ ยังคงเป็นความเสี่ยงด้านลบครั้งใหญ่สำหรับนักลงทุนในตลาดจีนในมุมมองของเรา” เขากล่าวเสริม
ผู้สังเกตการณ์คาดว่าจีนจะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งตอบโต้เมื่อเดือนที่แล้วด้วยมาตรการที่กำหนดเป้าหมายจำเพาะ รวมถึงภาษี 15% จากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลวของสหรัฐฯ
รัฐบาลจีนประณามการขึ้นภาษีศุลกากรล่าสุดนี้ และให้คำมั่นในวันอังคารว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ที่ “จะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองอย่างเด็ดขาด”
“ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจกลายเป็นประเด็นสำคัญในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” ถิง ลู่ จาก Nomura กล่าว
จูเลียน อีแวนส์ พริตชาร์ด (Julian Evans-Pritchard) แห่ง Capital Economics เขียนว่า "นี่อาจจะไม่ใช่การขึ้นภาษีครั้งสุดท้ายกับจีน" พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษี "โต้ตอบ" กับหลายประเทศในช่วงต้นเดือนเมษายน
"จีนไม่ใช่เป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับภาษีตอบแทน เนื่องจากจีนมีภาษีต่อสหรัฐฯ ต่ำกว่าในทางกลับกัน" อีแวนส์ พริตชาร์ด กล่าว
แต่ทรัมป์ยังมีวิธีอื่นๆ ที่จะทำให้สงครามการค้ารุนแรงขึ้นได้อีก เช่น การเก็บภาษีสินค้าเฉพาะบางประเภทในลักษณะเดียวกับที่เรียกเก็บในสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน
เขากล่าวเสริมว่า ทรัมป์อาจพยายามยุติสถานะของจีนที่มี "ความสัมพันธ์ทางการค้าปกติถาวร" กับสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีสินค้าจีนโดยเฉลี่ยพุ่งสูงเกิน 40%
หนังสือพิมพ์ Global Times ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน รายงานเมื่อวันจันทร์ว่า ขณะนี้รัฐบาลปักกิ่งกำลังพิจารณาใช้มาตรการของตัวเองเพื่อตอบโต้ภาษีของทรัมป์ โดยอ้าง "แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้"
“ผมคิดว่าผู้กำหนดนโยบายและผู้ส่งออกในจีนคาดการณ์ไว้แล้วว่าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้า และวางแผนตามนั้น” จื้อเว่ย จาง (Zhiwei Zhang) ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management กล่าว
Agence France-Presse
Photo by Pedro PARDO / AFP