ในการปิดประชุม 'เหลียงฮุ่ย' (两会) หรือการประชุมสองสภาของจีนซึ่งเป็นการกำหนดทิศทางของประเทศประจำปี มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใน นั่นคือการหายตัวไปของ 'จ้าวเล่อจี้' (赵乐际) ประธานคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ และสมาชิกลำดับที่ 3 ของคณะกรรมการประจำโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
อันดับหนึ่งของ 'กรมการเมือง' หรือโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือ สีจิ้นผิง อันดับที่สองคือ หลี่เฉียง และอันดับที่สามคือ จ้าวเล่อจี้
การหายตัวไปของจ้าวเล่อจี้ส่งผลให้พิธีปิดการประชุมต้องดำเนินการโดยรองประธานสภานิติบัญญัติของประเทศ คือ หลี่หงจง (李鸿忠)
สื่อของรัฐบางจีนรายงานว่า จ้าวเล่อจี้ได้ยื่นคำร้องขอลาหยุดเนื่องจากติดเชื้อทางเดินหายใจเพื่อเข้าร่วมการประชุมปิดการประชุมเมื่อวานนี้
อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศต่างจับตาการหายตัวไปของ จ้าวเล่อจี้ แม้ว่าทางการจีนจะยันยันว่าเขาล้มป่วยก็ตาม อาจเป็นเพราะการเมืองภายในของจีนความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงอยู่บ่อยๆ ในระยะหลัง
เช่น ซ่งเหวินตี้ (宋文棣) นักวิเคราะห์การเมืองจีนจาก Global China Hub ของ Atlantic Council กล่าวกับสำนักข่าว rfi ของฝรั่งเศส ว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยากอย่างยิ่ง เป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่งที่ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนจะไม่เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของปีนี้”
อย่างไรก็ตาม สถานี RTHK ของฮ่องกง รายงานว่า หม่าเฝิงกั๋ว (马逢国) หัวหน้าคณะผู้แทนฮ่องกงประจำสภาประชาชนแห่งชาติกล่าวว่า เขาไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด แต่เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ จ้าวเล่อจี้ เคยขาดการประชุมคณะผู้บริหารมาแล้ว 2 ครั้ง โดยเชื่อว่านี่เป็นความพยายามอย่างเข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัส
มาถึงคำถามสำคัญก็คือ จ้าวเล่อจี้คือใคร? และเขาสำคัญอย่างไร?
จ้าวเล่อจี้ มีพื้นเพเป็นชาวมณฑลชิงไห่ และเข้าสู่เส้นทางอาชีพราชการ ในช่วงแรกๆ เขาเคยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการมณฑลชิงไห่ รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลชิงไห่ เลขาธิการคณะกรรมการเทศบาลเมืองซีหนิง ผู้ว่าราชการมณฑลชิงไห่ เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลชิงไห่ และประธานคณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนมณฑล ในเดือนมีนาคม 2007 เขาเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลส่านซี และได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการถาวรของสภาประชาชนมณฑลส่านซีในปีถัดมา ในเดือนพฤศจิกายน 2012 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของคณะกรรมการการเมืองกลางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลส่านซีชุดที่ 18 และเลขาธิการของสำนักเลขาธิการกลางในการประชุมใหญ่ครั้งแรกของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลส่านซีชุดที่ 18 เข้าสู่ตำแหน่งผู้นำส่วนกลาง
จากนั้นจึงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฝ่ายจัดองค์กรของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมณฑลส่านซี ในเดือนตุลาคม 2017 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมใหญ่ครั้งแรกของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และได้รับเลือกเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้านการตรวจสอบวินัยในการประชุมใหญ่ครั้งแรกของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 เพื่อตรวจสอบวินัย ในเดือนตุลาคม 2022 เขาได้รับการเลือกตั้งใหม่เป็นสมาชิกคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 และได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการประจำของสภาประชาชนแห่งชาติในปีถัดไป
สื่อตะวันตกมักรายงานว่า จ้าวเล่อจี้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ สีจิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน (หรือประธานาธิบดีจีน) และในชั้นของพ่อของ จ้าวเล่อจี้ ยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ สีจ้งสวิน บิดาของ สีจิ้นผิง อีกด้วย โดยที่ทั้ง สีจิ้นผิง และ จ้าวเล่อจี้ ต่างก็เป็นสมาชิกชั้นนำของพรรครุ่นที่สองที่รับช่วงต่อจากบิดาของเขาทั้งสองคน หรือ ที่มักเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า 'พรรครัชทายาท' หรือ 'ไท่จื่อต่าง' (太子党) หรือ 'แดงรุ่นสอง' (红二代) ซึ่งหมายถึงสมาชิกชั้นนำของพรรคอมมิวนิสต์รุ่นที่สองต่อจากรุ่นแรกที่เป็นผู้ก่อตั้งและมักเป็นรุ่นพ่อ
เมื่อปี 2020 สำนักข่าว rfa ซึ่งเป็นสื่อที่รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มีรายงานเรื่อง “ความลึกลับของการผงาดขึ้นทางการเมืองของ 'แดงรุ่นสอง' ของชิงไห่ จ้าวเล่อจี้” สรุปสั้นๆ ก็คือ "ปัจจัยประการหนึ่งก็คือ ประวัติทางการเมืองของ จ้าวเล่อจี้ เดิมทีนั้นเป็ร "รุ่นอาวุโส" และปัจจัยประการที่สองก็คือ จ้าวเล่อจี้ ไม่เพียงแต่มี "ยีนสีแดง" เหมือนกับ สีจิ้นผิง เท่านั้น ไม่เพียงยังที่มีความน่าเชื่อถือทางการเมืองโดยกำเนิดด้วย แต่มิตรภาพปฏิวัติระหว่างพวกเขาสองคนยังสืบทอดมาจากพ่อของพวกเขาอีกด้วย"
และมีการเปิดเผยรายละเอียดความสัมพันธ์ตังแต่รุ่นพ่อของทั้งสองคนว่า "มิตรภาพอันปฏิวัติระหว่างบิดาของ จ้าวเล่อจี้ และบิดาของ สีจิ้นผิง ได้รับการเปิดเผยโดยสิ่งพิมพ์ทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงหลายปีนับตั้งแต่ สีจิ้นผิง ขึ้นมามีอำนาจ ตัวอย่างเช่น บุตรชายของ หลิวต้วนเฟิน หนึ่งในบอดี้การ์ดของ สีจ้งซวิน (习仲勋) บิดาของสีจิ้นผิงในมณฑลส่านซีตอนเหนือ ได้เน้นย้ำในบทความเรื่อง "ย้อนอดีตอันยาวนานกับผู้อาวุโสสี" 《往事悠悠忆习老》 ของเขาว่า "(บิดาของจ้าวเล่อจี้) ผู้อำนวยการจ้าวสี่หมิน (赵喜民) ก็เป็นสหายเก่าเช่นกัน เขาทำงานที่มหาวิทยาลัยปฏิวัติประชาชนภาคตะวันตกเฉียงเหนือในช่วงต้นของระบอบจีนใหม่ (ระบอบคอมมิวนิสต์) และเขายังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของผู้อาวุโสสี (บิดาของสีจิ้นผิง) ด้วย"
ที่ผ่านมา จ้าวเล่อจี้ เป็นแกนนำสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดของ สีจิ้นผิง และยกย่องความสำคัญของ สีจิ้นผิง ตั้งแต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จ้าวเล่อจี้ เพิ่งจะย้ำให้ต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของคำปราศรัยสำคัญของ สีจิ้นผิง ในการประชุมฉลองครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสภาประชาชนแห่งชาติให้ถี่ถ้วน และต้องรักษา ปรับปรุง และดำเนินการระบบสภาประชาชนในจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ใหม่
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ประธานาธิบดีจีนสีจิ้นผิง (ขวา) และจ้าวเล่อจี้ ประธานคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC)เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมปรึกษาการเมืองของประชาชนจีน (CPPCC) ณ มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 (ภาพโดย ADEK BERRY / AFP)