ข่าวที่รัฐบาลจะสร้างกำแพง/รั้วกันพรมแดนไทย-กัมพูชา ได้สร้างความยินดีปรีดาให้กับ "คนไทยผู้ห่วงใยชาติ" มากมาย ซึ่งระยะหลังเริ่มหมดความอดทนกับพฤติกรรมของกัมพูชา
ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงจีนเทาเอาไว้หลอกคนไทย ซึ่งแม้จะทำเป็นปราบและส่งสแกมเมอร์มาให้ไทย แต่โปรดทราบว่าตัวการใหญ่ยังไม่ถูกเล่นงาน และยังซุ่มหากินไปเรื่อยๆ เพราะ "แบ็คดี"
ตัวอย่างเช่น วันนี้เองมีคำเตือนมาจากบางประเทศให้ระวัง Prince Group ซึ่งถูกกล่าวหาจากองค์กรต่างประเทศว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมฉ้อโกงออนไลน์ เจ้าของ Prince Group นั้นมีเส้นสายใหญ่โตกับผู้นำประเทศ และยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นถึง 'ออกญา'
โปรดติดตามเบื้องหลังของ Prince Group ในเร็วนี้จาก The Better ซึ่งเราจะเปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียดถึงบุคคลเบืองหลังขบวนการสีเทาภายใต้บริษัทนี้
นอกจากขบวนการพลเรือนสีเทาแล้ว ในระยะหลังพวกทหารกัมพูชายัง "รนหาที่" ยั่วยุไทยไม่หยุดหย่อนทั้งที่ปราสาทตาเมือนธม กรณีเผาศาลาตรีมุขบริเณด่านช่องบก และกรณีเผาป่าแถวเขาพระวิหารล้ำเข้าในเขตไทย
ทหารไทยนั้นอดทน เพราะเห็นเขมรนั้นเป็นแค่ "เด็กอมมือ" ถ้าไปตอบโต้อีกครั้งเดี๋ยวพวกนายพลนายพันเขมรจะออกมาร้องไห้หน้าจอทีวีกันอีก
แค่สองกรณีนี้ก็มากพอแล้วที่ควรจะ "เว้นระยะห่าง" ระหว่างสองประเทศมันซะบ้าง ยังไม่นับพวกพลเมืองเขมรอีกมากมายที่รบกวนคนไทยในโซเชียลมีเดียด้วยความเท็จต่างๆ นานา
หากปล่อยให้ใกล้ชิดเกิดไป เกรงว่าจะเกิดศึกสงครามขึ้นมา อย่างน้อยคนเขมรที่เข้ามาพึ่งใบบุญของบ้านเราไม่มีที่ยืนในไทยเอาง่ายๆ
นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังมีหน้ามาโทษ "ชาตินิยมไทย" อีกว่าเป็นตัวการความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ คงจะลืมไปว่าคนที่เล่น "ไพ่ชาติยิม" และเล่นตานี้มาตลอด คือ ประเทศกัมพูชา
ฮุน มาเนต เล่าเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองเกิดในช่วงสงครามกลางเมือง เห็นความทุกข์ยากของสงครามดีจึงไม่อยาจะให้เกิดความขัดแย้ง แต่คงลืมไปว่าตัวเองโตเป็นหนุ่มแล้ว ตอนที่พวกคลั่งชาติเขมรบุกไปเผาสถานทูตไทยในพนมเปญเหตุเพราะข่าวปลอม
ฮุน มาเนต ควรจะทราบดีกว่าใครว่า เกือบจะทุกการเลือกตั้งใหญ่ในกัมพูชาที่ผ่านมานับตั้งแต่กรณีเผาสถานทูตไทย มันจะมีใครบางคนในกัมพูชาที่ปลุกกระแสต้านไทยมาโดยตลอด หาไม่แล้วก็ปลุกต้านเวียดนาม แล้วผลเลือกตั้งลงเอยด้วยชัยชนะของพรรคการเมืองของพ่อเขาและของตัวเขา
ใครกันแน่ที่ใช้ชาตินิยมเพื่อปลุกความบ้าเลือดของคนในชาติ ให้หันมาทำลายเพื่อนบ้านที่มีเมตตากับกัมพูชามาโดยตลอด
แบบนี้จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องเว้นระยะห่าง สร้างแนวกั้น แม้กระทั่งทำการสั่งสอนอบรมกัมพูชาให้มีสติเสียบ้าง อย่าได้บ้าเลือดหาเรื่องไทยไปเรื่อยๆ แบบนี้
วันใดวันหนึ่ง เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองไทย เกิดปรากฏการณ์การเมืองแบบขวาจัดและชาตินิยมจัดๆ ขึ้นมาในไทย ตอนนั้นกัมพูชาจะร้องไม่ออก
อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่โลกตะวันตกก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ และหากมีเวลาคิดควรจะลองดูทัศนะคนไทยในโซเชียลมีเดีย ตอนนี้ร่ำร้องเรียกหาการเมืองแบบชาตินิยมกันระงมไปหมด
ผมเห็นแนวโน้มนี้แล้วกลัวแทนกัมพูชา เพราะอาจจะเสียหายเอาง่ายๆ ถ้าไทยกลายสภาพเป็นแบบนั้น ดังนั้น เมื่อรัฐบาลไทยจะสร้างกำแพงกั้นกัมพูชาขึ้นมาผมก็อดยินดีไม่ได้
เพราะกำแพงนี่แหละที่จะเป็นแนวกั้นเหมือนกับฝายใหญ่ๆ ที่จะคอยป้องกันไม่ให้สองฝ่าย "ชนกัน" และยังช่วยกรองคนกัมพูชาให้เข้ามาประเทศอย่างถูกกฎหมายมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า คนเข้าผิดกฎหมายบ้าง อยู่เกินบ้าง และอยู่ไทยแต่ทำร้ายไทยบ้าง พวกนี้จะเป็นตัวเร่งการปะทะระหว่างสองประเทศ
โดยเฉพาะพวกที่ตัวอยู่ไทยแต่ปากกล้ากับไทย พอมีเรื่องอาจจะหนีออกทางช่องทางธรรมชาติได้ พอมีกำแพงขึ้นมาก็จะสามารถรวบตัวได้ จากนั้นก็ทำการสั่งสอนบรมด้วยกฎหมาย
ยังไม่นับพวกสแกมเมอร์ที่เข้าๆ ออกๆ ไทยเป็นว่าเล่น พวกนี้เป็นภัยเฉพาะหน้าต่อคนไทยและต่อคนจีน คนมาเลเซีย สิงคโปร์ ต่างๆ นานา แค่เหตุผลนี้เหตุผลเดียวก็ควรค่าแก่การสร้างกำแพงกั้นแล้ว
ผมเชื่อว่ากำแพงนี้ยังเป็นแค่ "คำเตือน" เท่านั้น เพราะยังไม่มีรัฐบาลและพรรคการเมืองที่ชาตินิยมจัดๆ ขนาดทรัมป์ซึ่งสร้างทั้งกำแพงและไล่คนต่างด้าวออกไป
ขึ้นอยู่กับกัมพูชาแล้วว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองหรือไม่ ทั้งรัฐบาลที่ไม่ควบคุมลูกน้องตามชายแดน และประชาชนบางคนที่ก่อกวนคนไทยทุกวี่วันจนคนไทยแทบจะหมดความอดทนกันแล้ว โดยไม่สนใจว่าพี่น้องร่วมชาติต้องมาหากินในไทยมากมาย
แม้แต่ประเทศที่ทรัมป์สร้างกำแพงกั้นและไล่พลเมืองของชาตินั้นออกไป ทั้งรัฐบาลและประชาชนก็ยังไม่ยังกระทำการแบบนี้กับสหรัฐอเมริกาเลย
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - Photo by GREG BAKER / AFP