ไม่ต้องตามข่าวบ่อยๆ ก็อาจจะทราบด้วยสัญชาติญาณได้ว่า ตอนนี้ยุโรปกำลังมุ่งไปสู่ปากเหว
นอกจากจะถูกสหรัฐฯ ทอดทิ้งแล้ว ยังไม่เจียมกำลังตนเองเพราะดื้อดึงที่จะ "ทำสงคราม" กับรัสเซียต่อไป โดยหลอกตัวเองว่ากำลังปกป้องเสรีภาพและประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ตัวเองล้ำเส้นที่รัสเซียขีดเอาไว้เรื่อง 'นาโต'
ฝรั่งเศสที่อวดดีมาแต่ไหนแต่ไร ถึงขนาดขู่รัสเซียว่าจะใช้ 'สหภาพนิวเคลียร์' จนรัสเซียต้องฮึ่มเข้าใส่ ฝรั่งเศสจึงค่อยหงอยไป ด้วยรู้ตัวดีว่าไม่มีเขี้ยวเล็บอย่างที่คุยโว
แต่ท่าทีจองหงองแบบนี้ เดาว่าอีกไม่กี่ทศวรรษเราคงเห็นยุโรปลุกเป็นไฟ กลายเป็นเถ้าถ่าน ถึงวันนั้นก็คงหาคนเห็นใจได้ยากเต็มที่ เพราะเขารู้กันทั่วว่า "พวกยุโรปเป็นวิญญูชนจอมปลอม"
ผมไม่ได้สาปแช่งยุโรป เพราะทุกประเทศรู้ดีว่าสงครามใหญ่ใกล้เข้ามา เช่น หน่วยข่าวกรองเดนมาร์กออกมาเตือนเองว่าว่ารัสเซียอาจก่อสงครามใหญ่ในยุโรปภายใน 5 ปี
แม้จะยังไม่ถึงวันนั้นเรื่องภายใน 'สหภาพ' ก็ป่นปี้ไปหมดแล้ว สมาชิกทะเลาะกันเองเรื่องควรเป็น 'เสรีนิยม' หรือ 'ชาตินิยม' กันดี ผลที่ออกมาก็คือชาตินิยมกำลังแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยที่พวกนี้ต้องการไล่ผู้อพยพออกไป และเอาใจใส่เรื่องสิทธิมุนษยชนให้น้อยที่สุด
ยุโรปตอนนี้จึงไม่มีหน้ามาใช้หลักการอะไรมาสั่งสอนชาวบ้านอีกแล้ว เพราะตัวเองก็เริ่มจะเป๋ ส่วนลูกพี่คือสหรัฐฯ นั่นทิ้งหลักการที่เคย "ใช้หากิน" มาด้วยกันแล้วกระทืบเสียป่นปี้ คนทั้งโลกจึงเห็นว่า "พวกนี้มือถือสากปากถือศีล" แท้ๆ
เพราะเอาปากก็ประกาศปาวๆ เรื่องเสรีภาพ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน แต่พอผลประโยชน์ของตนลงตัวก็จะเงียบไป ตรงกันข้ามถ้าผลประโยชน์ไม่เข้ามาก็จะใช้ 'ศีลธรรมการเมือง' พวกนี้มาขู่ชาวบ้าน
กรณีสหรัฐฯเราเห็นกันแจ่มแจ้งดีอยู่แล้วไม่ต้องเสียเวลาพรรณนาให้มากความ
แต่กับสหภาพยุโรป ผมจะยกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงความไม่มีมาตรฐานและใช้สถานะวิญญูชนมาแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง
เช่น กรณีเวียดนามซึ่งมีปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย อีกทั้งยังมีรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยมที่พวกยุโรปควรจะขยะแยง แต่ตรงกันข้าม ตอนนี้ยุโรปรักเวียดนามปานจะกลืนกิน
ทำไมยุโรปถึงลืมเรื่องสิทธิมนุษยชนแล้วไปดูดปากกับเวียดนาม?
ก็เพราะยุโรปถูกสหรัฐฯ แทงข้างหลังเข้าให้ด้วยการขึ้นภาษีและทอดทิ้งเรื่องยูเครน เศรษฐกิจยุโรปที่ต้องการหาที่พึ่งที่สามจึงต้องรีบเข้าหาเวียดนาม เพราะเชื่อว่าเวียดนามเป็น 'ตัวกลาง' ในการเข้าถึงตลาดจีนได้ดีที่สุด และเวียดนามยังสามารถเป็น 'ตัวเชื่อม' เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ด้วย
พูดง่ายๆ คือ ยุโรปต้องการรักษาจีนและสหรัฐฯ เอาไว้โดยอาศัยเวียดนาม ในช่วงเวลาที่จีนก็ไม่พอใจยุโรปที่ว่างๆ ก็มัจะกระซวกจีนซึ่งๆ หน้า ส่วนสหรัฐฯ นั้นยุโรปพึ่งพาอะไรตรงๆ ไม่ได้แล้ว
อีกเรื่องก็คือ เวียดนามมีแร่ธาตุสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียุคดิจิทัล และสหภาพยุโรปต้องการมัน โปรดทราบว่าในยุคนี้ "แร่ธาตุคือน้ำมันยุคใหม่" ใครมีมันย่อมมีไพ่ต่อรอง
นี่คือสาเหตุที่พวกผู้นำสหกาพยุโรปจึงยกขบวนกันมาเวียดนาม แต่จะทำเป็นลืมๆ เรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะผลประโยชน์มาก่อนหลักการ
สหภาพยุโรปทำแบบเดียวกันกับรวันดาและอุซเบกิสถาน ซึ่งประเทศแรกเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือการสังหารหมู่ในคองโก ส่วนประเทศหลังมีปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ "ดีกว่า" เวียดนามนิดหน่อย
เพื่อที่จะรับประกันแหล่งแร่ธาตุจำเป็น ยุโรปจึงเล่นเกมสองหน้า หน้าหนึ่งทำเป็นประณาม (ใช้องค์กรที่ไม่สำคัญนัก) ส่วนหน้าหลักคือคณะกรรมาธิการยุโรปก็เดินเครื่องต่อรองซื้อแร่ธาตุกับประเทศพวกนี้
กรณีของรวันดาที่สนับสนุนการฆ่าหมู่ในประเทศเพื่อนบ้านนั้นสหภาพยุโรปถูกองค์กร Human Rights Watch ตำหนิว่า "ไม่ขยับ" (Inaction) เอาเลย แค่เรื่องนี้ก็สะท้อนได้ว่าสหภาพยุโรปใช้ระบบ "หลายมาตรฐาน"
ฝ่ายที่ไม่ขยับคือ คณะกรรมาธิการยุโป แต่รัฐสภายุโรปกลับเรียกร้องให้ระงับข้อตกลงแร่ธาตุกับรวันดา
นี่คือการเล่ม "เกมสองหน้าหลายมาตรฐาน" ของยุโรป เพราะยุโรปต้องพึ่งพาประเทศที่ไม่คล้อยตาม "ศีลธรรม" ของตัวเองทั้งสิ้น แต่ครั้นจะร่วมมือกันซึ่งๆ หน้าก็น่าอายอยู่ จึงต้องแก้เก้อแบบนี้
ส่วนไทยนั้นเกรงว่าสหภาพยุโรปต้องทำแบบเดียวกัน เพราะมีสถานะ "ตัวกลาง" คล้ายๆ เวียดนาม ซึ่งดูเผินๆ เหมือนจะผิดคิวไปหน่อยที่ "รัฐสภายุโรป" (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ซึ่งทำงานไม่ประสานกับ "คณะกรรมาธิการยุโรป" (ฝ่ายบริหาร) ดันออกมติประณามไทยเรื่องส่งอุยกูร์กลับไปให้จีน
รัฐสภายุโรปมองไม่เห็นคุณค่าของไทยขนาดที่ "สั่ง" คณะกรรมาธิการยุโรปว่า "สมาชิกรัฐสภายุโรปเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการใช้แต้มต่อจากการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีเพื่อกดดันให้ประเทศไทยปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปล่อยตัวนักโทษการเมือง หยุดการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ และให้สัตยาบันอนุสัญญาหลักทั้งหมดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)"
พูดแบบ "วิญญูชนจอมปลอม" ก็คือ "เราควรจะใช้หลักสิทธิมนุษยชนมาต่อรองกับไทย เพื่อให้ไทยเสียเปรียบเรื่องการค้ากับเรา"
แบบนี้มันต่างจากพ่อค้าในคราบโจรและโจรในคราบนักบุญที่ไหน?
แต่จะว่าไปแล้วเราไม่ควรมองว่ารัฐสภายุโรปทำงานผิดจังหวะกับคณะกรรมาธิการยุโรป เพราะนี่เป็น "เกมสองหน้าหลายมาตรฐาน" ของยุโรป
นี่แหละที่เป็นแต้มต่อของไทยเหมือนกัน ไทยต้องนิ่งๆ กันเอาไว้ก่อน
เพราะพวกสภาพยุโรปยังมองเกมสั้นโดยหวังจะอาศัยเวียดนามเป็น "สื่อกลาง" เข้าถึงจีน โดยไม่ได้พิจารณาว่าเวียดนามก็อาจจะถูกรัฐบาลทรัมป์เล่นงานเพราะสถานะนี้นี่เอง
คนส่วนใหญ่เอาแต่มองว่าเวียดนามจะเป็นทางเลือกในสงครามการค้า แต่ไม่ได้มองว่าตัวเลือกนี้อาจจะกลายเป็นแพะรับบาปเอาง่ายๆ
ตอนนี้พวกตะวันตกมองว่าไทย "เลือกเข้าข้างจีน" ไปแล้วด้วยกรณีนี้กรณีเดียว จึงพากันโจมตีไทยแบบไร้ปราณีคงเพราะเห็นว่า "ไร้ประโยชน์แล้ว"
แต่ถ้าวันไหนเกิดเห็นไทยมีประโยชน์ขึ้นมา พวกนี้ก็จะลืมๆ ไปว่าเคยประณามไทย แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะสายเกินไปแล้ว เพราะถ้าวันนั้นมาถึงไทยก็คงจะสร้างปัจจัยต่อรองที่ไม่จำเป็นต้องพินอบพิเทาให้ชาติตะวันตกง่ายๆ อีก
ไม่ต้องมองไกล ในวังวนเศรษฐกิจโลกนั้นหากสหภาพยุโรปกล้าใช้มาตรการการค้าเล่นงานไทยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ยุโรปนั่นเองที่จะพัง เพราะตัวเองถูกสหัฐฯ เล่นงานอยู่ โดยที่ไทยยังปลอดภัยดี
คอยดูเถอะว่าในที่สุด เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของยุโรปจะทำตรงกันข้ามกับพวกที่อยู่ในสภา เพราะยุโรปขาดไทยไม่ได้ และยุโรปพึ่งเวียดนามประเทศเดียวไม่ได้เหมือนกัน เพราะหากเรียนประวัติศาสตร์สักหน่อยก็คงจะทราบว่าเวียดนามคือลูกรักรัสเซีย และเวียดนามเอาแน่เอานอนกับจีนไม่ได้เพราะฟัดกันมาตลอด
มีแต่ไทยกับ "อาเซียนรุ่นก่อตั้ง" เท่านั้นที่เอาแน่เอานอนได้ โดยเฉพาะในยุคที่ปั่นป่วนขนาดนี้ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็ยังดึงการลงทุนได้ตลอดหากทุนพวกนี้ไม่สนใจกิจการภายในของพวกเรา
ยุโรปตอนนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปยุ่งกับกิจการภายในของใคร เพราะเศรษฐกิจของตัวเองก็จะไม่รอด การเมืองก็ตกต่ำลงจนพูดเรื่องหลักการอะไรไม่ได้ สิ่งที่ยุโรปต้องการทีสุดคือ "ทุน" ในการค้ำชูตัวเองและเตรียมทำสงครามในอนาคต
เพื่อรักษาพลังของทุนตัวนี้ไว้ ยุโรปจะแทรกแซงกิจการภายในของไทยไม่ได้ โปรดติดตามชมก็แล้วกันว่ายุโรปจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองในที่สุด
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - TOPSHOT - อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เตรียมตัวสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการประจำสัปดาห์ที่สำนักงานใหญ่คณะกรรมาธิการยุโรปในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2025 (ภาพโดย Nicolas TUCAT / AFP)