เหมาเค่อจี้ (毛克疾) นักคิดดาวรุ่งซึ่งเป็นนักวิจัยประจำศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) แห่งประเทศจีน อันเป็นองค์กรชั้นนำด้านการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของจีน เมื่อเร็วๆ นี้ได้เขียนบทความเผยแพร่ในเว็บไซต์ The China Academy ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 มีนาคม มีเนื้อหาที่เผยให้เห็นถึงภัยเบื้องลึกที่จะเกิดจากรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งประเทศแรกที่จะต้องประสบหายนะก็คือสหรัฐฯ เอง และยังบอกวิธีการที่นานาประเทศจะรับมือกับรัฐบาลทรัมป์ด้วย
นี่คือทัศนะโดยสรุปของเขา
เหมาเค่อจี้ กล่าวว่า การผลักดันของมัสก์ในการปฏิรูปรัฐบาลกลางผ่าน DOGE (หรือ Department of Government Efficiency ซึ่งเข้ามาเพื่อปฏิรูปและทำลายรัฐซ้อนรัฐ) ด้วยการสนับสนุนของทรัมป์ทำให้เขานึกถึงการกระทำของผู้นำโซเวียตสองคน คนแรกคือครุสชอฟ ซึ่งในการกล่าวสุนทรพจน์ลับของเขาในการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตครั้งที่ 20 ได้เปิดเผยการกระทำอันชั่วร้ายหลายอย่างของสตาลิน แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้สถานะทางการเมืองของครุสชอฟแข็งแกร่งขึ้นในยุคหลังสตาลิน แต่ก็ได้ทำลายอำนาจในประเทศและศีลธรรมระหว่างประเทศของสหภาพโซเวียตอย่างถาวร (เนื่องจากเป็นการทำลายอำนาจรัฐเดิมที่สถาปนาโดยสตาลินเพื่อหวังจะยึดกุมอำนาจโดยกลุ่มอำนาจใหม่ แต่ผลที่ตามมาคือฐานอำนาจรัฐทั้งหดพังทลายตามไปด้วย) และผลที่ตามมาโดยตรงคือการแตกแยกระหว่างจีนและโซเวียต (เนื่องจากการทำลายฐานอำนาจรัฐโดยครุสชอฟทำให้จีนมองว่าคือภัยคุกคามของพรรคอมมิวนิสต์จีนที่อิงกับผู้นำหนึ่งเดียวแบบสตาลิน นั่นคือ เหมาเจ๋อตง) และในทำนองเดียวกัน ความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของมัสก์และทรัมป์ เพื่อเปิดโปงสิ่งที่เรียกว่า "รัฐซ้อนรัฐ" (Deeep state ) นั้นเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาทรัมป์อย่างแน่นอน "แต่ความเสียหายที่พวกเขากำลังสร้างให้กับสถาบันและอำนาจทางศีลธรรมของอเมริกาเป็นสิ่งที่ไม่อาจย้อนกลับและประเมินค่าไม่ได้ และอาจส่งผลที่น่ากลัวตามมา"
ต่อมา ในยุคของกอร์บาชอฟซึ่งเชื่อว่าสหภาพโซเวียตกำลังเสื่อมถอยลงอย่างรุนแรง เขาจึงถูกบังคับให้ปฏิรูปอย่างกล้าหาญตาม "แนวคิดใหม่" ของเขา กอร์บาชอฟตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ผ่านการปฏิรูปเพื่อให้สหภาพโซเวียตกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่และยังมีการเตรียมการที่ไม่เพียงพอ กอร์บาชอฟจึงลงเอยด้วยการทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายโดยไม่ได้ตั้งใจ "ในทำนองเดียวกัน ทรัมป์ซึ่งมองเห็นปัญหาของอเมริกา ต้องการปฏิรูปอย่างกล้าหาญและรุนแรงเช่นกัน แต่แนวทางที่รุนแรงของเขาอาจนำไปสู่ความไม่สงบภายในหรืออาจถึงขั้นสงครามกลางเมือง โดยสรุปแล้ว ผมมีข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับการปฏิรูปที่รุนแรงเช่นนี้ และผมยังตั้งคำถามอีกด้วยว่าการปฏิรูปเหล่านี้มีแรงจูงใจที่แท้จริงจากผลประโยชน์ของอเมริกาหรือเป็นแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลเหล่านี้เท่านั้น"
เหมาเค่อจี้วิเคราะห์ว่า ในหมู่ปัญญาชนชาวจีนยังเห็นต่างกันเรื่องปัญหาภายในของสหรัฐอเมริกา ฝ่ายที่มองในแง่ดีเชื่อว่าทรัมป์และมัสก์ได้ร่วมกันผลักดันการปฏิรูปที่แข็งแกร่ง และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยแรงกระตุ้นเพิ่มเติมจาก AI จึงมีความเป็นไปได้อย่างแท้จริงที่อเมริกาจะได้รับการกอบกู้ผ่านการปฏิรูปที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ผู้มองโลกในแง่ร้ายโต้แย้งว่าอำนาจโดยรวมของสหรัฐฯ ผูกติดอยู่กับระบบโลกโดยพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงสถานะของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินที่มีอิทธิพลเหนือโลก ความสามารถในการดึงดูดผู้มีความสามารถระดับสูงจากทั่วโลก และความสามารถในการดูดซับทุนจากทั่วโลก "ดังนั้น หากทรัมป์ใช้นโยบายแยกตัวอย่างแข็งกร้าวและลิดรอนอำนาจครอบงำโลกที่ดึงทรัพยากรของสหรัฐฯ [ผู้มองโลกในแง่ร้ายเชื่อว่า] ประเทศจะเผชิญกับความเสื่อมถอยอย่างรวดเร็วเนื่องจากไม่สามารถรักษาตัวเองไว้ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสลายตัวแบบสหภาพโซเวียตก็เป็นได้"
สำหรับการรับมือทรัมป์ เหมาเค่อจี้แนะนำว่า ทรัมป์เป็นนักธุรกิจโดยธรรมชาติ คุ้นเคยกับการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ แต่ไม่ค่อยไวต่อการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว ดังนั้น เขาคิดว่าว่ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการตอบสนองต่อแรงกดดันของทรัมป์คือการแสดงให้เห็นว่า "คุณทั้งสามารถและเต็มใจที่จะกำหนดต้นทุน [กับเขา] ในขณะเดียวกัน การแสดงจุดอ่อนหรือแสดงความวิตกกังวลต่อหน้าเขาจะไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจ ในทางกลับกัน มันจะยิ่งเชื้อเชิญให้เกิดการรุกรานเพิ่มเติม" เขาชี้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับแคนาดา เดนมาร์ก เยอรมนี และยูเครน ต่างก็พิสูจน์ให้เห็นจุดนี้แล้ว ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อฟังสหรัฐฯ แบบเชื่องๆ และเดินตามแนวทางของรัฐบาลวอชิงตันมาโดยตลอด ประเทศเหล่านี้จึงไว้วางใจสหรัฐฯ มากเกินไปและไม่เคยมีกลยุทธ์ในการต่อต้านหรือต่อต้านสหรัฐฯ เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามของทรัมป์ พวกเขาทำอะไรไม่ถูก และในที่สุดก็ได้รับความอับอายเขาบอกว่า "สำหรับผมแล้ว นี่เป็นบทเรียนในเรื่องความสมจริง การยอมจำนนจะนำมามาแต่การชักนำให้เกิดความอัปยศอดสูมากขึ้น มีเพียงการต่อต้านจนถึงที่สุดเท่านั้นจึงจะพลิกสถานการณ์ได้ ดังนั้น แม้จะรักษาความเคารพและมารยาทต่อเขาไว้ ผมก็จะแสดงเจตจำนงและความสามารถของจีนในการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ไว้อย่างมั่นคง เรื่องนี้จะทำให้เขาตัดสินใจด้วยความตระหนักดีว่าต้นทุนของการกดดันจีนจะสูงกว่าประโยชน์ที่ได้รับมาก จึงทำให้เขาหลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง"
สำหรับผลกระทบของทรัมป์ต่อจีนนั้น เหมาเค่อจี้ กล่าวว่า ทรัมป์เป็นเพียงตัวแปรเล็กน้อยสำหรับจีนเท่านั้น เพราะจีนเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากและมีฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในหลายกรณี ตราบใดที่กิจการภายในประเทศได้รับการจัดการอย่างดี ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ไม่แน่นอน เขาแสดงทัศนะว่า "จากมุมมองเชิงวิภาษวิธี สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่ทรัมป์ทำเพื่อจีนในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกคือการเปิดสงครามการค้าและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการปลุกให้จีนตระหนักถึงความเร่งด่วนในการพัฒนาเส้นทางเทคโนโลยีที่เป็นอิสระและควบคุมได้ และเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีอัจฉริยะ หากไม่มีนโยบายกดดันอย่างหนักของทรัมป์ หน่วยงานของรัฐบาลจีนหรือบริษัทในประเทศก็คงไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทางเลือกในประเทศได้" เขาย้ำว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ว่าสิ่งใดจะมีประโยชน์หรือเป็นอันตรายนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจีนสามารถดูดซับแรงกระแทกจากภายนอกได้ดีเพียงใด ท้ายที่สุดแล้ว การเสริมสร้างศักยภาพของจีนและการให้ความสำคัญกับประเด็นสำคัญภายในประเทศอาจมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับทรัมป์อีกต่อไป
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - TOPSHOT - รูปปั้นกระดาษแข็งที่เรียกว่า "นินอตส์" ซึ่งเป็นรูปผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน นั่งอยู่บนตักของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย (ด้านบน) ถูกจัดแสดงระหว่างเทศกาลฟัลลาสในบาเลนเซีย เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2025 (ภาพถ่ายโดย JOSE JORDAN / STR / AFP)