แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เพราะชาติตะวันตกก็ยังไม่เลิกรากับไทยกรณีอุยกูร์
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะส่งคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้สื่อข่าวเดินทางไปให้เห็นกับตาเรื่องสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไปจีน แล้วพบว่าชีวิตของพวกเขาก็อยู่เย็นเป็นสุขในบ้านเกิดของตัวเอง ไม่ได้เอาไปฆ่าไปแกงเหมือนที่พวกชาติตะวันตกโฆษณาชวนเชื่อ
แต่พวกองค์กรที่เป็นมือเป็นเท้าของชาติตะวันตกก็ยังไม่ยอมเชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาไว้แล้ว เพราะทางนั้น "มีธงไว้ในใจ" เรื่องซินเจียงและอุยกูร์ ต่อให้จีนเชิญไปให้ดูกับตาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด
เพราะเรื่องนี้ "ถูกทำให้เป็นประเด็นการเมือง" ไม่ได้มีเจตนาที่เมตตากรุณาต่อชาวอุยกูร์จริงๆ
หลังจากรัฐบาลตะวันตกรุมไทยไปแล้วยกหนึ่ง คราวนี้เป็นบทขององค์กรที่สนองตอบนโยบายต่างประเทศของมหาอำนาจตะวันตก คือ Human Rights Watch ซึ่งออกมา "ดิ้น" ในเรื่องที่คณะผู้แทนไทยไปดูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์
ที่ต้องใช้คำว่า "ดิ้น" เพราะองค์กรนี้ใช้คำว่า "ดิ้น" (choreography) กับฝ่ายไทยก่อน เพื่อความแฟร์จึงต้องตอบสนองด้วยถ้อยคำเดียวกัน
เพราะอีเลน เพียร์สัน (Elaine Pearson) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียขอ Human Rights Watch บอกว่า “คณะผู้แทนไทยที่เยือนซินเจียงไม่ควรมีส่วนร่วมในการดิ้นไปตามทำนองและการสร้างภาพของรัฐบาลจีน แต่ควรรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์อย่างแท้จริง และ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเริ่มฟื้นฟูชื่อเสียงที่เสียหายเกี่ยวกับสิทธิในการส่งชายอุยกูร์กลับจีนด้วยการยืนกรานว่าต้องเข้าถึงและรายงานต่อสาธารณะเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของชายอุยกูร์ 40 คนอย่างไม่จำกัด”
ผมทราบดีว่า อีเลน เพียร์สัน (ชาวออสเตรเลีย) ทำงานเรื่องสิทธิมนุษยชนมานานหลายปี แต่เธอไม่ยอมเปิดใจจนไม่น่าให้อภัย เพราะไทยเราก็ไปดูให้เห็นกับตาและรายงานกลับมาอย่างเป็นกลางโดยสื่อที่ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง และรัฐบาลก็ไม่ได้จิ้มเลือกสื่อไปด้วยไปโดยเตี๊ยมกันไว้แล้ว
ขนาดนี้แล้วเธอก็ยังงอแงจะโน่นเอานี่อีก เพราะเธอนั้นไม่เชื่อว่าจีนจะจริงใจ และไทยทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจ ถ้ามีธงปักที่กลางใจขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องไปอธิบายอะไรกันอีก เพราะพูดไปก็ไร้ประโยชน์
ที่จะมีประโยชน์กว่าคือควรทำความรู้เบื้องลึกของ Human Rights Watch กันดูบ้างว่าจริงแล้ว "ทำงานให้ใคร?"
องค์กรนี้แม้ชื่อจะบอกว่า "ดูแลสิทธิมนุษยชน" แต่ก็มักจะถูกตำหนิว่ามีอคติ ลำเอียง และไม่เป็นธรรม เนื่องจากมักจะสนใจแต่ "ปัญหาสิทธิมนุษยชน" ของบ้านเมืองอื่นๆ แต่ไม่ได้สนใจเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกา
เรื่องนี้ปัญญาชนชาวโลกที่มีความเป็นธรรมย่อมทราบดี ดังจะเห็นได้จากจดหมายเปิดผนึกเมื่อปี 2014 ที่วิจารณ์ Human Rights Watch โดยบรรดาผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและอดีตเจ้าหนาที่ระดับสูงของสหประชาชาติ เนื้อของจดหมายเปิดผนึกได้เปิดโปงเบื้องหลังขององค์กรนี้ไว้ว่า
"Human Rights Watch เรียกตัวเองว่า "องค์กรอิสระชั้นนำของโลกที่อุทิศตนเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน" อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง Human Rights Watch กับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ความเป็นอิสระขององค์กรต้องถูกตั้งคำถาม" จากนั้นก็ยกตัวอย่างพนักงานระดับสูงขององค์กรนี้ที่เคยเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำกรุงวอชิงตันในขณะนั้น เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดีบิล คลินตัน และนักเขียนคำปราศรัยของแมเดอลีน ออลไบรท์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ หรือจะเป็น ซูซาน มานิโลว์ รองประธานคณะกรรมการบริหารที่สนิทสนมกับ บิล คลินตัน และเคยเป็นเจ้าภาพจัดงานให้กับคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครตหลายสิบงาน
คณะกรรมการที่ปรึกษาของ Human Rights Watch ยังมีอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำโคลอมเบีย และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายละตินอเมริกาของ National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มีวิเคราะห์ของสำนักข่าวกรองกลาง (CIA)
เอาแค่คนเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่า Human Rights Watch มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่นับการกระทำที่เหมือนช่วยปกป้องรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น ในจดหมายเปิดผนึกยกตัวอย่าง "เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013 Human Rights Watch ได้อธิบายอย่างถูกต้องว่าการใช้ขีปนาวุธของซีเรียในสงครามกลางเมืองเป็นสิ่งที่ 'ผิดกฎหมาย' อย่างไรก็ตาม Human Rights Watch นิ่งเฉยต่อการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจนจากการที่สหรัฐฯ ขู่จะโจมตีซีเรียด้วยขีปนาวุธในเดือนสิงหาคม"
ดังนั้น สิ่งที่องค์กรนี้พูดออกมาให้สงสัยเอาไว้ก่อนว่าเป็น "ภาพสะท้อนของยุทธศาสตร์ต่างประเทศสหรัฐฯ"
จึงไม่ต้องแปลกใจที่องค์กรนี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไทยเข้าไปยุ่งกับเรื่องอุยกูร์ไม่หยุดหย่อนแม้ว่ามันจะไม่ใช่กงการอะไรของประเทศเราแล้วก็ตาม
ลองดูจากแถลงการณ์ว่าองค์กรนี้ไม่รู้จักมารยาททางการเมืองระหว่างประเทศแค่ไหนถึงกล้าใช้คำสั่งกับไทยให้ไปตรวจสอบประเทศจีน ว่า "รัฐบาลไทยควรกดดันทางการจีนให้เปิดเผยที่อยู่ของชาวอุยกูร์ 40 คนที่ถูกส่งตัวกลับจากไทย และให้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติและนักการทูตเข้าถึงข้อมูลเพื่อยืนยันความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ได้อย่างไม่มีอุปสรรค"
ถามว่านี่มันหน้าที่อะไรของไทยอีก ในเมื่อเราต้องแบกรับปัญหานี้มานับสิบปี?
ถ้า Human Rights Watch (หรือรัฐบาลสหรัฐฯ) ต้องการอะไร ทำไมไม่ไป "อ้อนวอน" เอากับทางการจีนเองเล่า? หรือว่าที่จริงแล้วทำไม่ได้ เพราะเล่นไปโจมตีประเทศเขาไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งพนักงานระดับสูงถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว?
ส่วน เพียร์สัน ก็ยังแสดงความไม่รู้เหนือรู้ใตเรื่องอธิปไตยของชาติต่างๆ อีกโดยเรียกร้องราวกับมีอำนาจบาตรใหญ่วา “รัฐบาลที่เกี่ยวข้องควรกดดันจีนให้อนุญาตให้นักการทูตและสื่อมวลชนเข้าถึงซินเจียงได้โดยเสรี การติดตามดูแลความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ 40 คนนี้ไม่ใช่การดำเนินการเพียงครั้งเดียว แต่จะต้องให้รัฐบาลเหล่านี้ผลักดันการเข้าถึงต่อไป”
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เพียร์สัน มีวิธีคิดเหมือนกับพวก 'นักเลงการเมืองโลก' ซึ่งสหรัฐฯ และชาติตะวันตกมักจะแสดงออกแบบนี้อยู่บ่อยๆ นั่นคือต้องแทรกแซงให้ได้และต้องกดดันเท่านั้น ซึ่งถามจริงๆ ว่าประเทศที่มีสติปัญญาปกติประเทศไหนเขาจะยอมให้ทำแบบนั้น?
แบบนี้เขาเรียกว่า 'ละเมิดอธิปไตย' ซึ่งอาจนำมาซึ่งผลที่เลวร้ายกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนเสียอีก เช่น การตัดสัมพันธ์ทางการทูตจนกระทบต่อชีวิตประชาชนสองชาติอย่างร้ายแรง หรือแม้กระทั่งอาจนำไปสู่สงคราม
คนที่ทำงานองค์กรระหว่างประเทศจะคิดเรื่องนี้ไม่ออกเลยหรือ? หรือเพราะมี Mindset แบบรัฐอันธพาลจึงคิดแบบอื่นไม่ได้?
ผมเขียนมาถึงขนาดนี้แล้ว หลายคนอาจจะด่าว่า "เป็นพวกคัดค้านสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า?" ตอบว่า "ตรงกันข้าม เพราะผมห่วงใยสิทธิมนุษยชนจึงไม่อาจปล่อยปละละเลยการกระทำที่มีเจตนาซ่อนเร้นเอาไว้ได้"
อันที่จริงแล้วแล้วการมีอยู่ขององค์กรแบบนี้เป็น "คุณ" ต่อโลกเราไม่น้อยเพราะช่วยสอดส่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน "จริงๆ"
แต่ปรากฏว่าองค์กรพวกนี้มักจะรับใช้การเมืองอยู่เบื้องหลัง ทำให้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่แท้จริงๆแล้ว ยังทำให้หมดความน่าเชื่อถือ ซึ่งนำไปสู่การละเมดสิทธิมนุษยชนจริงๆ จะถูกละเลยเพราะประเทศต่างๆ ระแวงว่าพอองค์กรไหนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา "มันจะต้องมีเจตนาร้ายทางการเมืองแน่ๆ"
ดังนั้น จดหมายเปิดผนึกของปัญญาชนเมื่อหลายปีก่อนต่อ Human Rights Watch จึงแนะนำให้องค์กรนี้เลิกจ้างพวกที่เคยเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสหรัฐฯ ซะ จะได้ห่วงใยปัญหาสิทธิมนุษยชนได้อย่างบริสุทธิใจ
และที่สำคัญ องค์กรพวกนี้ควรจะรู้จักมารยาทเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ว่าจะมาสั่งให้ประเทศโน้นประเทศนี้ทำตามที่ตัวเองบอกตามใจชอบ นอกจากจะทำให้ประเทศที่ถูกเอ่ยถึงต้องขัดแย้งกับอีกประเทศหนึ่งแล้ว ความไร้มารยาทแบบนี้ยังทำให้ความพยายาม "ทางการทูต" ในด้านสิทธิมนุษยชนต้องล้มเหลวด้วย
พูดง่ายๆ คือ องค์กรพวกนี้ไม่รู้จักการทูตที่โอภาปราศรัยกัน แต่ทำงานเหมือนเป็น "เจ้าโลก" อยากจะได้ดั่งใจไปเสียหมด ดังนั้น จึงไม่มีใครที่จะยอมฟัง และยังมีส่วนลดทอดความสำคัญของปัญหาสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
ป.ล.
กับข้อกล่าวหาของชาติตะวันตกต่อ 'กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง' นั้นส่วนใหญ่มาจาก 'ฝ่ายต่อต้านจีน' ในตะวันตกทั้งนักการเมืองและสื่อหากไล่รายชื่อดูก็จะราบว่าคุณสมบัติของนักการเมืองและสื่อเหล่านั้นต่างก็น่าสงสัยในความตรงไปตรงมาเหมือนกับ Human Rights Watch
ความไม่ตรงไปตรงมาของสื่อเหล่านี้ที่ชัดที่สุดมักจะใช้คำว่า 'disinformation' กับสื่อที่ให้ข้อมูลโต้งแย้ง และให้วิธีการ name-calling ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น 'pro-Beijing' (พร้อมด้วยกระบวนการทำให้คำนี้มีนัยด้านลบ) โดยที่ยกตัวเองว่าเป็นพวก 'ประชาธิปไตย' และ 'พิทักษ์สิทธิมนุษยชน'
ยกตัวอย่างเช่น ใครก็ตามที่ท้าทายข้อมูลของ เอเดรียน เซนซ์ (Adrian Zenz) ที่เป็นคนแรกๆ ที่ออกมาเผยแพร่ข้อมูล 'กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง' ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเพวก 'โปรจีน' หรือ 'ปฏิบัติการไอโอให้ความเท็จ'
หากจะใช้วิธีตราหน้าโดยไม่แยแสข้อมูลแบบนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็ออกมาเปิดโปงได้เช่นกันว่า เอเดรียน เซนซ์ ก็มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ ประการแรกคือเขาเป็นพวกฝ่ายขวาที่มีความลำเอียงในทางการเมืองจากการที่เขาที่สังกัดมูลนิธิ Victims of Communism Memorial (อวค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์) และเป็นพวก Jamestown Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มนีโอคอนเซอร์เวทีฟ นายจ้างของ เอเดรียน เซนซ์ กล่าวถึงเขาว่าเป็น “หนึ่งในนักวิชาการชั้นนำของโลกเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่มีต่อทิเบตตะวันตกและเขตปกครองตนเองซินเจียง” แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นนักคริสต์นิกายหัวรุนแรงขวาจัดที่สอนในสถาบันเทววิทยาแห่งหนึ่ง และเคยกล่าวว่าเขา “เป็นผู้นำในการต่อสู้กับรัฐบาลจีนโดยการชี้นำจากพระเจ้า” การตรวจสอบอย่างละเอียดโดยสื่อฝ่ายซ้าย คือ Grayzone เกี่ยวกับการวิจัยของเขาพบว่าคำกล่าวอ้างของเขาเกี่ยวกับ 'การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์' ในซินเจียงมีการดัดแปลงเนื้อความ คัดเลือกเฉพาะข้อมูลที่ตอบสนองกับเป้าหมายของตน มีเนื้อหาแบบโฆษณาชวนเชื่อ และเป็นคำกล่าวที่ไม่สอดคล้องกัน
หากจะเข้าใจ 'กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง' ก็ควรจะเข้าใจต้นเหตุแห่งการปล่อยข้อมูลออกมาเพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้ขึ้นในเรื่องนี้ว่า "เป็นเรื่องการเมือง" ดังนั้นควรที่จะ "เปิดโปงเบื้องหลังการเปิดโปง" ของฝ่ายตะวันตกต่อจีนอย่างละเอียดต่อไป
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - Pedro PARDO / AFP