เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารหมายเลข 14176 เพื่อเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี น้องชายของเขา และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เอกสารมากกว่า 60,000 ฉบับได้รับการเผยแพร่ในสองเดือนต่อมาในวันที่ 18 มีนาคม
เอกสารเหล่านี้ยังต้องใช้เวลาในการถูกแปลงเป็นดิจิทัล (digitized) แล้วหลังจากนั้นจะได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชนในเว็บไซต์ของ National Archives and Records Administration
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นมีการอ่านเอกสารเปิดเผยใหม่ระบุถึงหน่วยข่าวกรองกลาง (CIA) มากขึ้น และยังแสดงให้เห็นว่า CIA บทบาทสำคัญมากในสถานทูตสหรัฐฯ ต่างๆ และนอกจากนี้ ยังมีเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังการ JFK ที่เก็บไว้ในสำนักงานของ CIA อีกจำนวนหนึ่งด้วยที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย
บทบาทของ CIA เกี่ยวกับการลอบสังหาร JFK ถูกเสนอเป็นทฤษฎีมานานแล้วแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีการเปิดเผยข้อมูลของ เกรก พอลเกรน (Greg Poulgrain) อาจารย์อาวุโสด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยซันไลน์โคสต์ รัฐในควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับการเมืองและประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานหลายปี
การวิจัยของ พอลเกรน เรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกี่ยวอะไรกับการลอบสังการ JFK?
เพราะในหนังสือของเขาที่ชื่อ JFK vs Allen Dulles ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง JFK กับ อัลเลน ดัลเลส อดีตผู้อำนวยการของ CIA สะท้อนให้เห็นถึงการแทรกแซงของ CIA ต่อการกำหนดนโยบายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ JFK โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการที่จะเป็นผู้นำกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นนำในสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลือกข้างใดข้างหนึ่งระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี ดังนั้น CIA จึงมีปฏิบัติการเพื่อ "ปรับ" รูปแบบการปกครองของอินโดนีเซียเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อตน
ในหนังสือ JFK vs Allen Dulles พอลเกรน โยงใยถึงความพยายามของตระกูลร็อกเกอะเฟลเลอร์ (Rockefeller) ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีแห่งอเมริกาที่จะเข้าควบคุมเหมืองทองคำในแถบอิเรียนตะวันตกของอินโดนีเซีย (หรือจังหวัดอิเรียนจายา บนเกาะปาปัว) โดยเฉพาะเหมืองกราสเบิร์ก (Grasberg mine) ซึ่งมีทองคำอยู่มากมาย
บทที่ 1 ของหนังสือเล่มนี้ทำการเล่าว่าดัลเลสมีเบื้องหลังด้านอาชีพการงานของเขาอย่างไร โดยครั้งหนึ่งเคยเข้าไปพัวพันในคดีความเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทร็อกเกอะเฟลเลอร์ ซึ่งทรงอิทธิพลและมีขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษปี 1920 และเป็นที่มาของความสัมพันธ์ระหว่างดัลเลสกับร็อกเกอะเฟลเลอร์ แม้แต่หลังจากที่เขาได้เป็นผู้อำนวยการของ CIA แล้ว
ในช่วงต้นทศวรรษปี 1950 ดัลเลสได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้า CIA โดยเขาดำเนินการเคลื่อนไหวเอเชียมากขึ้นเพื่อยึดให้เป็นพื้นที่ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และได้เน้นความพยายามไปที่อินโดนีเซียมากขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงกลางทศวรรษปี 1950 ดัลเลสดำเนินแผนการเรียกว่า “กลยุทธ์อินโดนีเซีย” ซึ่งมุ่งหวังที่จะปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของอเมริกาโดยเสริมสร้างบทบาทของกองทหารอินโดนีเซียที่เอียงไปทางสหรัฐฯ ในขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียที่นำโดยซูการ์โนแสดงท่าทีไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
หนึ่งในการดำเนินการกลยุทธ์ที่ว่านี้คือ ดัลเลสและ CIA มีบทบาทนำในการสนับสนุนและปราบปรามการกบฏในหมู่เกาะรอบนอกของอินโดนีเซียในปี 1958 โดยมีจุดประสงค์เฉพาะเพื่อจัดตั้งกองบัญชาการทหารรวมศูนย์ ซึ่งในที่สุดกองบัญชาการภายใต้การบงการของดัลเลสและ CIA ก็สามารถเข้าควบคุมประเทศได้ในปี 1965
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ กลยุทธ์ของดัลเลสถูกท้าทายโดย JFK ซึ่งได้ไล่ดัลเลสออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ CIA ในปี 1961 และ JFK ยังส่งสัญญาณถึงแนวทางใหม่ด้านนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ต่ออินโดนีเซีย
แต่ดัลเลสยังคงมีอิทธิพลอย่างมากและสามารถยังเรียกใช้งานเครือข่ายของเขาได้อยู่ ส่วน JFK ตอบโต้เครือข่ายของดัลเลสด้วยการใช้พลังอำนาจในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แนบแน่นของเขากับประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซย เพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างกัน
ความสัมพันธ์แบบใหม่นี้รวมถึงการที่สหรัฐฯ และอินโดนีเซียจะตกลงมอบเอกราชให้กับอิเรียนตะวันตก ซึ่งมีปัญหามานาเรื่องความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซีย (และยังคงมีปัญหาแบ่งแยกดินแดนจนถึงปัจจุบัน) แต่หากอิเรียนตะวันตกกลายเป็นเอกราชก็อาจส่งผลให้ Freeport Sulphur ซึ่งเป็นบริษัทที่มีร็อกเกอะเฟลเลอร์เป็นกรรมการบริหารจะมีปัญหาในการควบคุมเหมือง
มีการเสนอว่าจะมีการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ และอินโดนีเซียที่วางแผนไว้ในปี 1964 โดย JFK วางแผนจะเยือนจาการ์ตาในช่วงต้นปีนั้น และ JFK และซูการ์โนจะประกาศโครงการนี้ร่วมกัน
แต่แล้วเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ก็เกิดการลอบสังหาร JFK ที่รัฐเท็กซัส ทำให้การเยือนครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แผนการพัฒนาล้มเหลวอย่างไม่มีร่องรอย ทำให้ CIA ภายใต้อิทธิพลของดัลเลสมีอิสระที่จะดำเนินแผนการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่างประเทศของชนชั้นนำสหรัฐฯ ต่อไป
พอลเกรนอ้างว่า ดัลเลสเป็นผู้วางแผนการลอบสังหารในนามของตระกูลร็อกเกอะเฟลเลอร์เพื่อขจัดการแทรกแซงของ JFK โดยหนึ่งในกระบวนการการลอบสังหารก็คือดัลเลสช่วยให้ ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) มือลั่นไกสังหาร JFK สามารถเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาได้ง่ายขึ้นและช่วยหางานให้เขาที่ Texas School Book Depository ในรัฐเท็กซัส
หลังจากที่ ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ ลั่นไกสังหาร JFK ตามแผนแล้ว ดัลเลสและ CIA ก็ดำเนินการยึดอำนาจในอินโดนีเซียโดยได้รับความร่วมมือจากนายทหารหนุ่มที่ทรงอิทธิพล คือ ซูฮาร์โต พวกเขาทำการบั่นทอนอำนาจของประธานาธิบดีซูการ์โน จากนั้นก็ทำการใส่ร้ายป้ายสีพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง และนำไปสู่การสังหารหมู่ผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายซ้ายและคนเชื้อสายจีนครั้งใหญ่ในปี 1965
ในเรื่องนี้ พอลเกรน อ้างว่าการสังหารหมู่ทั่วประเทศที่ตามมาและการที่ซูฮาร์โตขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทำให้ บริษัท Freeport Sulphur ที่มีร็อกเกอะเฟลเลอร์เป็นกรรมการบริหารสามารถยึดครองเหมืองทองคำได้สำเร็จโดยได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลซูฮาร์โตที่ตครองอำนาจในปี 1968 และเอียงไปทางตะวันตก
เหมืองทองคำแห่งนี้ถูกพบในช่วงรัฐบาลดัตช์เป็นเจ้าอาณานิคมอินโดนีเซียในปี 1935-36 นักสำรวจบังเอิญพบแหล่งทองคำที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก แต่นักธรณีวิทยาและผู้ปกครองอาณานิคมชาวดัตช์สามารถปกปิดการค้นพบนี้ไว้เป็นความลับได้นานหลายทศวรรษ จนกระทั่งมันตกเป็นของบริษัท Freeport Sulphur ที่เกาะปาปัวที่มีตระกูลร็อกเกอะเฟลเลอร์เป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร
ปัจจุบัน Freeport Sulphur เปลี่ยนชื่อเป็น Freeport-McMoRan ดังนั้นหากจะค้นหาความเกี่ยวข้องระหว่างร็อกเกอะเฟลเลอร์กับเหมืองทองคำในปาปัว จึงเป็นเรื่องยากขึ้น
จากการวิเคราะห์ของ Inside Indonesia ในบทที่ 6 ในหนังสือของพอลเกรน เขาเล่าถึงการเสียชีวิตของไมเคิล ร็อกเกอะเฟลเลอร์บุตรชายคนเล็กของผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เนลสัน ร็อกเกอะเฟลเลอร์ ขณะที่กำลังค้นหาผลงานศิลปะของอัสมัตที่ชายฝั่งทางใต้ของปาปัวในเดือนพฤศจิกายน 1961 เขาก็ถูกพัดออกสู่ทะเลเนื่องจากอุบัติเหตุทางเรือ เขาหายตัวไปและไม่พบศพอีกเลย แต่คนงานน้ำมันต่างชาติกลับปั่นเรื่องราวเกี่ยวกับไมเคิล ร็อกเกอะเฟลเลอร์ “ถูกพวกกินเนื้อคนกิน” ซึ่งต่อมาสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศก็หยิบยกเรื่องนี้มาเล่าต่อ เรื่องนี้ตอกย้ำ "คำอธิบายเล่าขาน" (narrative) แบบยุคอาณานิคมที่ให้ภาพว่าปาปัวเต็มไปด้วย “คนป่าเถื่อน” และไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง ซึ่งตอบสนอง "คำอธิบายเล่าขาน" ของอินโดนีเซียที่ต้องการปกครองดินแดนนี้ต่อไป
เหมือง Grasberg ซึ่งเป็นหนึ่งในเหมืองทองคำที่ใหญ่ที่สุด และเป็นเหมืองทองแดงที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก โดยมี Freeport-McMoRan เป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้ Grasberg ยังคงเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย โดยมีมูลค่าแร่สำรองมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์
ป.ล.
นอกจากหนังสือของพอลเกรนที่โยงดัลเลสกับการสนองผลประโยชน์ของชนชั้นนำอเมริกันแล้ว ในหนังสือชีวประวัติเรื่อง The Devil's Chessboard: Allen Dulles, the CIA, and the Rise of America's Secret Government โดย เดวิด ทัลบ็อต (David Talbot) ยังพบความเชื่อมโยงนี้ โดยผู้เขียนตั้งสมมติฐานว่าอัลเลน ดัลเลสวางแผนการลอบสังหาร JFK ตามคำสั่งของผู้นำภาคธุรกิจที่ทรงอิทธิพล แต่คำสั่งสังหาร JFK มีเหตุผลว่าเขาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่เพราะ JFK จะส่งผลเสียต่อประโยชน์ทางธุรกิจเฉพาะใดๆ โดยดัลเลสได้ล็อบบี้ประธานาธิบดีคนใหม่ ลินดอน จอห์นสัน เพื่อให้ตัวเองได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการวอร์เรน (Warren Commission) ซึ่งสอบสวนการลอบสังหาร JFK ทัลบ็อตกล่าวว่าดัลเลสยังได้จัดการให้ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์เป็นผู้รับผิดชอบการลอบสังหารครั้งนี้ด้วย หนังสือเล่มนี้ระบุว่าผู้สมรู้ร่วมคิดที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของจอห์น เคนเนดียังสังหารโรเบิร์ต เคนเนดี น้องชายของเขาด้วย ซึ่งผู้สมรู้ร่วมคิดมองว่าเป็น "ไพ่ใบสำคัญที่คาดเดาไม่ได้ เป็นภัยคุกคามที่ควบคุมไม่ได้" ที่จะเปิดเผยแผนการนี้ของกลุ่มที่สมคบในการลอบสังหาร JFK
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี กับประธานาธิบดีอาเหม็ด ซูการ์โน แห่งอินโดนีเซีย 24 เมษายน 1961(Abbie Rowe. White House Photographs. John F. Kennedy Presidential Library and Museum, Boston)