ในที่นี้เราจะไม่พูดกันอีกว่า 'กีกี้' (หรือบางคนบอกว่ามันคือ 'กี้กี้') คืออะไรและทำไมคนในสภาต้องต่อล้อต่อเถียงกันไม่เลิก เพราะมันไร้สาระเต็มทน
เรื่อง 'กีกี้' ต้องโทษสื่อสถานเดียวที่สนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะว่ามันบันเทิงแบบไม่ต้องคิดมากและหาเอ็นเกจเมนต์ง่ายกว่าจะสนใจการอภิปรายที่มีประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆ
ช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีอะไรนอกสภาที่น่าสนุก มีแต่เรื่องชวนหดหู่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะมลพิษและเศรษฐกิจที่พังพินาศ
เรียกว่าคนไทยตายผ่อนส่งทั้งในแง่สุขภาพและการทำมาหากิน
ในฐานะที่ผมทำข่าวต่างประเทศ ผมจะแสดงทัศนะเฉพาะการอภิปรายเรื่องต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยก็แล้วกัน
เรื่องแรก การที่คุณกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม อภิปรายในประเด็นอุยกูร์
เรื่องนี้อย่าให้ผมต้องวิจารณ์คุณกัณวีร์เลยเพราะผมพูดและเขียนเรื่องอุยกูร์มาเยอะเกินไปแล้ว ดังนั้น ขอเชิญคุณกัณวีร์ไปอ่านคอมเมนต์คนไทยตามเพจต่างๆ จะดีกว่า แม้แต่เพจข่าวที่ค่อนข้าง "เอียง" ไปทางคุณกัณวีร์ก็เต็มไปด้วยเสียงติติงว่าเรื่องอุยกูร์นี้เกี่ยวข้องกับปากท้องประชานตรงไหน? และควรจะจบได้หรือยัง?
การพูดถึงเรื่องนี้มากเกินไป มันยิ่งทำให้ผู้แทนฯ ถูกประชาชนตำหนิว่าไม่ทำหน้าที่เพื่อคนไทย แต่กลับไปทำหน้าที่ให้คนชาติอื่น
ผู้แทนราษฎรไทยก็ควรจะช่วยกันแก้ปัญหาของราษฎรไทย จริงไหมครับ?
พูดถึงเรื่องนี้ ผมต้องชื่นชมผู้แทนราษฎรท่านหนึ่งพูดเรื่องปัญหาของประชาชนไทยจริงๆ ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นั่นคือคุณภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส. เชียงใหม่ เขต 8 (หางดงและสันป่าตอง) จากพรรคประชาชน ซึ่งอภิปรายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตร-ตระกูลฮุนแห่งกัมพูชา กับปัญหาควันไฟและฝุ่น PM2.5 ในประเทศเรา
คุณภัทรพงษ์ให้ข้อมูลว่า "กัมพูชาเผาแทบจะทั้งประเทศ"
แต่ไทยกลับปล่อยกู้ให้กัมพูชา 491.5 ล้านบาทไปสร้างถนนโดยเงินพวกนี้เป็นภาษีประชาชน "ทั้งๆ ที่พื้นที่ตรงนั้นเผาแทบจะทั้งพื้นที่ เราก็เอาเงินไปสร้างถนนให้เขาขนสินค้าเกษตรที่เผาเอาเข้าประเทศเรา แม้ว่านี่จะเป็นการให้กู้ แต่เป็นการให้กู้ที่แทบจะให้เปล่า 7 ปีแรกปลอดหนี้ กัมพูชาไม่ต้องจ่ายอะไรเลย หลังจากนั้นค่อยๆ ทยอยผ่อนด้วยดอกเบี้ยแค่ร้อยละ 1.5"
คุณภัทรพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่า "แล้วที่หนักที่สุดครับคือกัมพูชาไม่ยอมเซ็นร่วมยุทธศาสตร์นี้ (กำจัดฝุ่นควัน) กับประเทศเราด้วยซ้ำ"
และ "เราให้เขาขนาดนี้ ยังไม่เอาไปต่อรองอะไรเลย" ซึ่งหมายถึงการเอาเรื่องปล่อยกู้สร้างถนนไปต่อรองให้กัมพูชาเลิกเผาไร่เผานาเสียที โดยไม่มีการเจรจาแล้วปล่อยให้ประชาชน "ล้มตายจากฝุ่นพิษ PM 2.5 ไปอีกเท่าไหร่ ถึงจะทำจริงได้สักที"
ที่น่าจะเจ็บใจก็คือ คุณภัทรพงษ์เผยว่ารัฐบาลกัมพูชากลับเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังปัญหาฝุ่นควันในประเทศไทยเสียอย่างนั้น
ทั้งๆ ที่กัมพูชาเผานาเผาไร่แล้วควันไฟมันลามเข้าในไทย จนคนไทยต้อง "ตายผ่อนส่ง" กันแบบนี้
ในแง่การต่างประเทศ ผมเห็นว่าการอภิปรายของคุณภัทรพงษ์มีคุณค่าอย่างมาก มีทั้งข้อมูลและการวิเคราะห์ เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวไทยจริงๆ
ถ้าคนไทยไม่ได้แบ่งพรรคพรรคฝ่ายในทางการเมืองหนักขนาดนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยน่าจะชื่นชมการอภิปรายแบบนี้ เพราะมันช่วยเปิดโปงว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ "ไม่เอาไหน" ของรัฐบาลนั้นเป็นปัญหาของประชาชนตาดำๆ จริงๆ
ปัญหาก็คือ พรรคประชาชนมีภาพลักษณ์ด้านการต่างประเทศที่ทำให้คนไทยจำนวนมากไม่พอใจ โดยเฉพาะการที่ สส. บางคนให้น้ำหนักกับปัญหาในเมียนมาจนเกินเหตุ คล้ายๆ กับที่คุณกัณวีร์เอาแต่พูดเรื่องกรณีอุยกูร์
ภาพลักษณ์ของพรรคประชาชนกับปัญหาเมียนมานั้นมันแนบแน่นเสียจนจนกระทั่งคนไทยบางกลุ่มเสียดสีว่านี่คือ "พรรคประชาชนเมียนมา"
แน่นอนว่า ผมเห็นวาระที่ สส. เหล่านี้ต้องการจะสื่อ แต่ประชาชนเขาไม่มีเวลามาฟังเรื่องจำพวกนี้ในช่วงเวลาที่พวกเขาเดือดร้อนไปทุกทีๆ
เช่น ประชาชนกังวลเรื่องคนต่างด้าวที่มีเป็นล้านๆ คนในประเทศเรา และกังวลว่าสวัสดิการของคนไทยจะถูกคนต่างด้าวแย่งเอาไปใช้
ดังนั้น เมื่อนักการเมืองพูดถึงการดูแลเอาใจใส่คนต่างด้าว ทั้งเมียนมาและอุยกูร์ แม้จะอ้างว่าเป็นเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" แต่ประชาชนเขาไม่ฟังหรอกครับ จนกว่าคนไทยจะสบายใจเสียก่อนว่าบ้านเมืองไม่ได้เสียไปให้คนต่างด้าว และสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของเราไม่ได้ถูกคนอื่นชุบมือเปิบเอาไปใช้
คนไทยยังไม่พอใจกับพฤติกรรม "เคลม" ทางวัฒนธรรมของคนกัมพูชา และการอ้างเป็นเจ้าของปราสาทตาเมือนธมกับเกาะกูดของนักการเมืองกัมพูชา ถึงขนาดที่ว่าคนไทย "พร้อมที่จะอาสาไปรบ" ได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้บางคนอาจจะคิดว่า "รักชาติเกินเหตุ" แต่อย่างน้อยมันสะท้อนว่ากัมพูชากับไทยมีปัญหารุนแรงมากแล้วในระดับประชาชน
ดังนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีหรือคนในรัฐบาลอ้างว่า "เราไม่มีปัญหาอะไรกับกัมพูชา" และบางคนในรัฐบาลยังข่มขู่ประชาชนคนไทยด้วยกันเองเสียด้วยซ้ำว่า "อย่าทำให้กระทบกระเทือนเพื่อนบ้าน" การทำแบบนี้ประชาชนคนไทยที่ไหนเขาจะเชื่อใจรัฐบาลได้อีก โดยเฉพาะรัฐบาลที่สนิทสนมกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ในความเห็นของผม ความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำประเทศไหนๆ กับที่ไหนๆ นั้นมันไม่ช่วยรับประกันหรอกครับว่าประเทศนั้นจะเห็นไทยเป็นมิตร เพราะความสัมพันธ์ที่ว่านั่นเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม
อย่างที่คุณภัทรพงษ์แห่งพรรคประชาชนว่าไว้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ตระกูลชินวัตร-ตระกูลฮุนว่า "พ่อกับพ่อก็เพื่อนกัน ลูกกับลูกก็เพื่อนกัน ไม่ต้องกลัวเรื่องสันธิสัญญา"
แต่จะบอกว่าไอ้ความสัมพันธ์แบบ "พี่น้องร่วมสาบาน" แบบนี้แหละที่นำไปสู่เหตุการณ์ "เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด" มานักต่อนักแล้ว และจะยิ่งพินาศยิ่งขึ้นหากเอาความสัมพันธ์แบบนี้ไปพ่วงกับเรื่องของชาติบ้านเมือง
ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องไม่เถรตรงของรัฐบาลในการจัดการปัญหากับกัมพูชามากว่านี้ ผมคิดว่าน่าจะดึงผู้ชมได้มากกว่านี้เสียอีก และคลิปอภิปรายตอนนี้น่าจะแพร่หลายไปนานๆ ด้วยซ้ำ
ฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องการต่างประเทศน้อยไปหน่อยไม่เป็นไร แต่ผมเสียดายที่สื่อทำตัวให้ตกต่ำด้วยการย้ำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้คนไทยรู้สึกว่าปัญหาของชาติไม่มีคนเล็งเห็น และสื่อไม่มีมีส่วนตั้งคำถามกับรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีในเรื่องการต่างประเทศที่กระทบต่อชีวิตคนไทยจริงๆ
ดันไปเล่นสนุกสนานกับ 'กี้กี้' ที่ไม่ได้ทำให้พรมแดนมั่นคงขึ้น มีการควบคุมต่างด้าวได้ดีขึ้น และคนไทยหายใจสะดวกขึ้น
ขอไว้อาลัยให้กับ 'สื่อกี้กี้' ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ทีมข่าว The Better